วันพฤหัสบดีที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2553

75 เคล็ดลับ โปรโมท Blog ให้ดัง

มาดู 75 เคล็ดลับ โปรโมท Blog ให้ดัง !!!
พอดีไปเจอมา อ่านแล้วใช้ได้เลยทีเดียว ลองทำตามดูนะครับ มีประโยชน์มากๆเลย บางข้อผมก็ไม่เคยทำเลย

1. ถ้าคุณเพิ่งทำเวบใหม่สดๆเลย ก็เขียนบทความอะไรซักหน่อย แล้วไปส่งที่ Digg, Reddit, และ Now Public
2. สร้าง Yahoo Group เกี่ยวกับเรื่องของเวบเรา
3. สมัคร MySpace แล้วใช้มันช่วยโปรโมท
4. บุ๊คมาร์คเวบเราที่ Del.icio.us และถ้าคุณมีกึ๋นซักหน่อยนะ ก็ใส่ปุ่ม Del.icio.us ไว้ในเวบของคุณด้วย
5. สมัคร Technorati แล้วก็ “claim” Blog ของคุณซะ (อย่าลืมใส่ปุ่ม ไว้ที่เวบ)
6. submit เวบของคุณที่ directories ที่เป็น seach engine friendly แบบฟรีๆ ก็มีเยอะแยะ เช่น Info Vilesilencer
7. ทำแบบสำรวจ นี่เป็นวิธีที่ดีที่จะโปรโมทแบบ offline (มีใครเคยทำมั้ยง่ะ – -a)
8. ไปลงโฆษณาฟรีสำหรับบริษัทของคุณที่ Gumtree
9. ใช้ RSS feeds
10. submit RSS feeds ของเราตาม FeedBurner, Squidoo, Feedboy, Jordomedia, FeedBomb, FeedCat, rssmad, feedirectory, และ Feedboy
11. เขียนบทความที่เกี่ยวกับเวบของคุณ แล้วส่งไปตาม article sites
12. สมัคร StumbleUpon แล้วเรียกเพื่อนๆมาช่วย Stumble
13. สร้างหน้า 404 ของตัวเองไว้ เผื่อว่าคนเข้ามาเจอ error ก็จะ redirect ไปที่อื่นๆที่ดีๆ
14. สร้าง 301 redirect เพื่อจะ redicrect traffic ของคุณจาก non-www มาที่ www ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ ที่นี่
15. ใส่ลิ้งของเวบคุณไว้ใน signature ของเวบบอร์ดที่คุณเป็นสมาชิก
16. บอกเพื่อนๆเกี่ยวกับเวบของคุณ (มันเป็นหารโฆษณาฟรีๆน่ะ)
17. ตรวจคำผิดในเวบของคุณด้วย!
18. เช็คเวบของคุณ browser หลายๆอัน
19. ซื้อโฮสต์ที่ดีพอ ไม่มีใครชอบเวบที่เป็นเต่าคลาน
20. ไม่ต้องกังวลกับ PageRank ไปหาทางโปรโมทดีกว่านะ เดี๋ยว PageRank มันก็ดีตามเอง
21. แจกของฟรี !! คนส่วนมากจะบอกต่อ เมื่อมีของฟรี
22. บอกเพื่อนบ้านของคุณ (- -a)
23. บอกวิธีที่จะติดต่อคุณให้มากที่สุด msn email yahoo skype เบอร์โทร ที่อยู่
24. ลงโฆษณากับ Craigslist มันฟรี และก็ดีใช้ได้
25. อย่าใช้ Frames
26. Submit เวบที่ DMOZ.org มันอาจจะต้องใช้เวลาซักหน่อย แต่ก็คุ้ม
27. สร้าง Site Map ให้กับเวบของคุณ แล้วส่งให้ Google
28. ทำเสื้อขึ้นสกรีน URL เวบคุณลงไป แล้วก้ใส่มันบ่อยๆด้วย (อืม..คิดได้เนอะ – -”)
29. เอาไปให้สาวสวยหุ่นเร้าใจใส่ด้วยซักตัว *-*
30. สมัคร Affiliate program เพื่อขายสินค้าของคุณ หรือว่าถ้าคุณเป็น Publisher ก็โกยเงินกัน!!
31. ในหน้า contact ถามด้วยว่า คุณสนใจจะรับ Newsletter มั้ย
32. ส่ง Newsletter !!
33. เข้าร่วมสัมมนาคนทำเวบ คุณอาจจะเรียนรู้อะไรใหม่ๆก็ได้
34. หา Blog ดีๆ ดังๆ แล้วก็ไปตอบคอมเม้นไว้ (ใส่ลิ้งเวบคุณด้วยล่ะ)
35. อย่าจ้างคนให้ submit search engines ให้ เสียตังค์เปล่าๆ เพราะอันที่ดังๆมีแค่ Google 50% Yahoo 25% และ MSN 10%
36. ส่งคลิบเข้าพร้อมกับชื่อเวบคุณในคลิบ ที่ YouTube กับ Google Video
37. แจกฟรี e-book แล้วเวบคุณจะเป็นที่ฮือฮา
38. แจก Wordpress Theme, Blogger Theme, หรือ phpLD themes
39. ถ้าคุณขายของที่มีโฆษณาในทีวี เขียนในเวบคุณด้วยว่า “แบบที่เห็นในทีวี”
40. หลีกเลี่ยงเทคโนโลยีที่ไฮโซเกิน เช่น Java หรือ Active x
41. แจกของให้โหลดได้ ระวังลิขสิทธิ์ด้วย
42. เรียนรู้ CSS
43. ตอบคอมเม้น ยิ่งถ้าเป็น Blog ตอบบ่อยๆ
44. ขอให้เวบอื่น หรือ Blogger คนอื่นๆ ช่วย review เวบคุณ หรือว่า สินค้าก็ได้ (แลกกัน review ก็ดี)
45. ใช้ชื่อ page ที่มีความหมาย ไม่ใช่ www.yourdomain.com/pgInfoPages.cfm?cx=50799399822B393BBF95289295A3A10A4FD4F64E511ACB0E020C9048CFE3AEDAF8DD9D
46. ถ้าคุณจำเป็นจะต้องมี Flash ที่หน้าแรก อย่าลืมใส่ปุ่ม skip ด้วย
47. บอกหนังสือพิมพ์ท้องถิ่น หรือ วารสารประจำโรงเรียนเกี่ยวกับเวบของคุณ บางทีถ้าเค้าไม่มีเรื่องจะเขียน หน้าของคุณอาจจะไปโผล่ในนั้นก็ได้
48. จงดังในหมู่คนที่เขียนเรื่องเดียวกัน
49. บริจาคเพื่อการกุศล แล้วส่วนมากเค้าจะใส่ลิ้งแบคให้คุณ
50. ปฏิบัติตามกฏของ W3C standards มันจะช่วยให้คุณอยู่รอดได้ในระยะยาว
51. ทีมกีฬาในโรงเรียน หรือในชุมชน ให้โอกาสคุณเป็น sponsors ในราคาถูกและดี
52. โปรโมทเวบตามบอร์ดต่างๆ แต่อย่าสแปม
53. ขอให้ Blogger เขียนเกี่ยวกับเวบของคุณ โดยแลกกับลิ้งแบค
54. จัดการประกวดแข่งขันขึ้นมาในเวบ
55. ใส่ปุ่ม “ส่งต่อให้เพื่อน”
56. มี site map ในเวบของคุณ เพื่อช่วยผู้เข้าชม และsearch engine
57. ตั้งชื่อที่มีคีย์เวิร์ดตรงๆ ทั้งผู้อ่านและ search engine ชอบ
58. ใส่ปุ่ม FeedBurner ในเวบด้วย คนอ่านจะได้สมัครได้ง่ายๆ
59. Adwords เป็นทางเลือกที่ดี ถ้าคุณใช้มันเป็น
60. ใส่ About Me ใน Blog ผู้อ่านจะรู้สึกว่ามี’คน’ที่กำลังสื่อสารกับเค้า
61. สร้างหน้าเวบ แบนเนอ และโลโก้ไว้บนเวบ เพื่อว่าใครจะเอาไปตีพิมพ์ หรือเอาไปแปะในเวบ
62. ใส่ลิ้งมาที่เวบคุณจาก ebay profile
63. ขอให้เพื่อนของคุณช่วยวิจารณ์เวบแบบตรงๆ
64. E-books ที่มี reseller rights เป็นของแจกที่ดีอย่างนึงสำหรับเวบคุณ
65. submit รูปที่ Flikr
66. แชร์ banner ที่ เวบแลกเปลี่ยน banner
67. ตอบอีเมลล์ของลูกค้าให้เร็ว ไม่มีใครชอบรอ 3-4 วันกว่าจะได้รับคำตอบ
68. Keep It Simple Stupid (KISS) ใช้ CSS ในการวาง layout และ html text อย่าลวดลายมาก
69. อย่าใส่รูปเยอะมากจนเกินไป จะทำให้โหลดช้า
70. ถ้าคุณคิดว่าจะ submit เยอะมากๆ สร้างเมลล์อันใหม่มาเพื่อการนี้ แล้วทิ้งมันไปซะเพื่อลดการ สแปม
71. ใส่ Favicon ให้เวบคุณ จะได้โดดเด่นเวลา Bookmark
72. เข้า Yahoo answer แล้วตอบคำถาม พร้อมกับใส่เวบของคุณเปน source
73. อย่าซื้อ traffic มันจะมาแค่วูบเดียว แล้วจากไป
74. ทำความรู้จักกับคนที่อยู่ในวงการเดียวกัน เข้า community เป็นต้น
75. เขียนบทความที่จะมีคนอยากลิ้งถึงมากๆ เช่น บทความนี้ไง

ที่มา: http://www.thaiseoboard.com

วันพุธที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2553

HYIP คืออะไร ???

HYIP คืออะไร ???

HYIP ย่อมาจาก High-Yield Investment Program

Hyip เป็นเว็บเกี่ยวกับด้านการลงทุน ประเภทรับฝากเงินจากสมาชิกโดยจะจ่ายดอกเบี้ยให้สมาชิกตามอัตราที่ทางเจ้าของเว็บผู้กำหนด ซึ่งแต่ละเว็บจะมีการกำหนดให้อัตราดอกเบี้ยของการลงทุนที่แตกต่างกัน

ในอดีต การเปิด HYIP มาจากการที่บุคคลใดคนหนึ่ง หรือกลุ่มคนใดกลุ่มหนึ่ง ต้องการนำเงินไปลงทุนจำนวนมาก แต่มีไม่เพียงพอ จึงเปิดการระดมทุนโดยการทำเว็บไซต์ประเภท HYIP ขึ้น เพื่อต้องการให้บุคคลอื่นนำเงินมาให้ลงทุน โดยมีผลตอบแทนโดยเจ้าของเว็บ HYIP จะให้ผลตอบแทนเป็นดอกเบี้ยคืนกับผู้ลงทุนทั้งหลาย ตามวันเวลาและจำนวนเงินที่ผู้ลงทุนต่างๆมาลงทุนด้วย โดยทางเจ้าของเว็บ HYIP เป็นผู้กำหนดเองโดยการตั้งเงื่อนไขของ ดอกเบี้ย และจำนวนวันเวลาในการรับลงทุน เป็นต้น....

ทั้งนี้ เว็บไซต์ Hyip ในปัจจุบันนี้ยังเป็นที่นิยมอยู่มาก แต่ทั้งนี้จะแตกต่างจากเมื่อก่อน ตรงที่ว่าปัจจุบัน การเปิดเว็บไซต์ HYIP จะเปรียบเสมือน MONEY GAME ONLINE มากกว่า คือเป็นการลงทุนจากค่าตัวเงินไซเบอร์ คือเป็นค่าตัวเงินที่ไม่สามารถนำมาใช้ได้จริงในชีวิตประจำวัน (เช่น E-Gold, E-bullion, E-point, LibertyReserve, Alertpay, Moneybooker เป็นต้น)

นอกเสียจากเกิดการแลกเปลี่ยนกันเองระหว่าง บุคคลต่อบุคคล โดยการซื้อขายจากเงินบาท เงินดอลล่าร์ จริงๆ ทำให้เป็นที่ได้รับความนิยมจากผู้ที่กระหายเล่น เสี่ยงโชค เสี่ยงดวง

ซึ่งในความเป็นจริง ในปัจจุบันนี้ เว็บ HYIP จะมีอายุของการเปิดการลงทุนอยู่ไม่นาน บางเว็บไซต์เปิดให้ลงทุนอยู่แค่วันเดียวก็ปิดการลงทุนโดยที่ไม่มีการจ่ายผลตอบแทนคืนสมาชิก แต่คนก็ยังนิยมเล่น Hyip กันอยู่โดยอาศัยจังหวะและโอกาสตอนที่เว็บเปิดใหม่ๆ ทำกำไรแต่ก็มีไม่น้อยที่ขาดทุน

ลักษณะการให้เปอร์เซ็นต์ของ Hyip
Hyip ส่วนมากจะกำหนดเปอร์เซ็นต์การจ่ายออกเป็น 2 ลักษณะ คือ
- แบบรายวัน (daily) ลักษณะนี้เว็บจะคำนวณเงินให้เราเป็นรายวัน สามารถกดเบิกได้ทุกวัน ซึ่งจะสามารถกดเบิกได้กี่วันนั้นทางเว็บจะกำหนดไว้

- แบบเป็นรอบ (after N days) ลักษณะนี้เว็บจะคำนวณเงินให้เราเมื่อครบกำหนดรอบวันที่กำหนด ซึ่งจะกำหนดว่ารอบละกี่วัน เช่น N วันลักษณะนี้จะจ่ายครั้งเดียวเมื่อครบรอบวันที่กำหนด

การคำนวณเงินจาก Hyip ใน แผนต่างๆ

แผนแรก เป็นแบบ daily
- 50%-80% daily for 3 days หมายความว่าทางเว็บจะคำนวณเงินให้เราทุกวันเป็นจำนวน 50%-80% ของเงินทุนที่ลงเป็นเวลา 3 วัน ซึ่งจะได้เปอร์เซ็นต์เท่าไหร่นั้นขึ้นอยู่กับจำนวนเงินที่เราลงกับทางเว็บ ซึ่งจะได้%ตามเรทของเงินที่ลงดังที่แสดงไว้ เช่น สมมุติเราลงเงินจำนวน 10$ เมื่อเทียบกับ plan ของเว็บ จะเห็นได้ว่าอยู่ plan 1 ฉะนั้นเราจะได้เงินจากทางเว็บวันละ 50% ของ เงินลงทุนเป็นระยะเวลา 3 วัน รวม 150% ได้วันละ 50 % x 10$ = 5$ เป็นเวลา 3 วัน รวม 15$ ซึ่งเราสามารถกดเบิกได้ทุกวัน

แผนสอง เป็นแบบ after 3 days
- 180%-250% after 3 days หมายความว่าทางเว็บจะคำนวณเงินให้เราครั้งเดียวหลังจากครบ 3 วัน ซึ่งเปอร์เซ็นต์ที่ได้นั้นก็จะขึ้น อยู่กับจำนวนเงินที่ลง เช่น สมมุติเราลงเงินจำนวน 10$ เมื่อเทียบกับ plan ของเว็บ จะเห็นได้ว่าอยู่ plan 1 ฉะนั้นเราจะได้ เงินจากทางเว็บ 210% ของเงินลงทุนเมื่อครบ 3 วัน 210% x 10$ = 21$ สามารถกดเบิกได้หลังจากครบ 3 วัน

การสมัคร
- คลิก Signup เพื่อเข้าสู่หน้าสมัคร เพื่อกรอกข้อมูล
- เสร็จสิ้นการสมัครเราสามารถ login เข้า account ได้เลยทันที สำหรับเมนูต่างๆ ของ Hyip จะกล่าวแต่ที่สำคัญสำคัญนะครับ

Account แสดงรายละเอียดของบัญชีของเรา
Make Deposit สำหรับลงเงินกับทางเว็บ
Withdraw สำหรับกดเบิกเงิน
Withdrawals History ประวัติการจ่ายเงิน
Your Referrals แสดงรายละเอียดเกี่ยวกับดาวน์ไลน์ จำนวน , ค่าคอมมิชชั่น
Edit Account สำหรับเข้าไปแก้ไขรายละเอียด เช่น ชื่อ , password
- จากนั้นเข้าไปดูที่ Account จะเห็นได้ว่าเงินเข้า account แล้ว

การกดเบิก
- คลิกเมนู Withdraw
- เข้าไปดูที่ Withdrawals History
คอมมิชชั่น
แต่ละเว็บจะกำหนดเปอร์เซ็นต์คอมมิชชั่นจากได้ไลน์ไม่เหมือนกัน บางเว็บจะแบ่งเรทเปอร์เซ็นต์ตามจำนวนดาวน์ไลน์ บางเว็บก็ให้เปอร์เซ็นต์คอมมิชชั่นเรทเดียวกันโดยไม่ขึ้นอยู่กับจำนวนดาวน์ไลน์
แบบแบ่งตามจำนวนดาวน์ไลน์
แบบคอมมิชชั่นเปอร์เซ็นต์เดียวกันหมด

พึงระลึกไว้อยู่เสมอว่า Hyip (ส่วนมาก) เปิดมาเพื่อโกง ฉะนั้นผู้ที่จะลงทุนจะต้องยอมรับความเสี่ยง และใช้วิจารณญาณในการลงทุน

ที่มา :
rubsub.com ,
ptc.icphysics.com

วันอังคารที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2553

Social Media กับการหางาน

เลิกตกงานด้วยเฟสบุ๊ก

ประโยชน์ของเฟสบุ๊กไม่ได้อยู่ที่เกมสนุก-เมาท์สนั่นอย่างเดียว แต่สามารถช่วยให้คนตกงานพ้นจากวิกฤตวิจัยฝุ่นได้จริง ต่อไปนี้คือวิธีการที่คุณทุกคนจะสามารถทำตามเพื่อแปลงเครือข่ายสังคมทุกค่าย ให้เป็นเครื่องมือสำคัญในการหางานทำได้อย่างไม่ควรมองข้ามด้วยประการทั้งปวง

จากบทความเรื่อง Social Media กับการหางาน
โดย กานดา สุภาวศิน (Twitter: @pakada)

ในยุคปัจจุบันคงไม่มีใครไม่รู้จัก Social Media สื่ออันทรงพลังรูปแบบใหม่ที่ทำให้เกิดโอกาสในหลายๆ ทาง ทุกวงการล้วนแล้วแต่กระโดดเข้ามาใช้ Social Media ทั้งสิ้น เนื่องด้วยเหตุผลหลัก 2 ประการ คือ User Content Generated และ Influence of Referral

ประเด็นร้อนประเด็นฮิตที่จะพูดถึงในวันนี้ คือ Social Media ช่วยในการหางานได้จริงหรือ จากประเด็นนี้เลยขอแบ่งยุคและวิธีการหางานโดยแบ่งออกเป็น 3 ช่วงได้แก่

ช่วงที่1 การประกาศตำแหน่งงานด้วยสื่อสิ่งพิมพ์ (Print Media) ไม่ว่าจะเป็นหนังสือพิมพ์ หนังสือ/นิตยสารรายปักษ์ สื่อนี้เป็นที่นิยมอย่างแพร่หลายและถือเป็นสื่อพื้นฐานที่ คนหางาน กับ งานหาคนมาพบเจอกัน

ช่วงที่2 กำเนิดเว็บไซต์และสื่อออนไลน์ ยุคนี้เป็นยุคที่เกิดเว็บไซต์หางานต่าง ๆ ผุดขึ้นเป็นดอกเห็ด ตำแหน่งงานมากมายถูกประกาศผ่านทางเว็บไซต์ด้วยต้นทุนการประกาศที่ต่ำกว่า สื่อสิ่งพิมพ์อยู่มาก และมีผู้ค้นหาตำแหน่งงานและสมัครงานผ่านช่องทางออนไลน์กันมากขึ้น โดยแนวโน้มการใช้สื่อสิ่งพิมพ์ในการประกาศตำแหน่งงานมีจำนวนลดลงมาก หลายบริษัทที่รับประกาศตำแหน่งงานในสื่อสิ่งพิมพ์พยายามผันสื่อของตัวเองให้ อยู่ในรูปแบบออนไลน์กันมากขึ้น

ช่วงที่3 ยุค Web 2.0 จนถึงปัจจุบัน หลายท่านอาจจะคุ้นหูกับคำว่า Web 2.0 ไปแล้ว เรามาทบทวนกันอีกสักครั้งหนึ่งว่า Web 2.0 ประกอบไปด้วยอะไรบ้าง โดย O'Reilly Media ได้กล่าวถึง การให้บริการในรูปแบบ Web-based Generation ที่สองไว้ ดังนี้

Social networking sites เป็น เว็บไซต์ที่รวบรวมบรรดาผู้คนมากหน้าหลายตาที่พร้อมใจกันสร้างสรรค์/แชร์คอน เทนต์ ไม่ว่าจะเป็นการเล่าเรื่องผ่านตัวอักษร ภาพถ่าย ภาพวิดีโอ สื่อประสมต่างๆ จากเพื่อนสู่เพื่อน ตัวอย่างของไซต์ที่ฮอตฮิตในประเทศไทย ได้แก่ Facebook, Hi5, Youtube, LinkedIn

Wikis เป็นเว็บไซต์ที่อนุญาตให้ผู้เข้าเยี่ยมชมทุกคนมีสิทธิ์ในการเพิ่มเติม/แก้ไข /เปลี่ยนแปลงข้อมูลที่สามารถใช้งานร่วมกันได้เสมือนร่วมมือร่วมใจกันสร้าง สรรค์คอนเทนต์เพื่อใช้ประโยชน์ร่วมกัน ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดคือ Wikipedia

Communication tools เครื่องมือการติดต่อสื่อสารนี้รวมไปถึง อีเมล และยังขยายวงกว้างคลอบคลุมไปถึง RSS feed, podcasting, instant messaging, SMS, Blog หรือ แม้แต่ Twitter เอง

Folksonomies อนุกรมวิธานที่ผู้ใช้สร้างขึ้นเอง ซึ่งใช้ในการแบ่งหมวดหมู่และค้นคืน หน้าเว็บ รูปภาพ ตัวเชื่อมโยงเว็บ และ เนื้อหาบนเว็บอื่นๆ โดยใช้วิธีการติด Tag ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนคือ Social Bookmarking

ยุค Web 2.0 นี้จัดได้ว่าเป็นยุคที่ผู้ใช้งานเป็นศูนย์กลางในการสร้างสรรค์ และมีการนำมาแชร์และแลกเปลี่ยนประสบการณ์กันอย่างกว้างขวางและไม่จำกัด โดยหลายบริษัท องค์กร ได้มีการสร้างกลุ่ม/เครือข่ายของตนเองขึ้น เพื่อเป็นอีกช่องทางในการประชาสัมพันธ์ตำแหน่งงานที่เปิดรับสมัคร ทั้งนี้เพื่อหวังผลการบอกต่อ / แบ่งปัน / Retweet จากเพื่อนสู่เพื่อน ในแง่ของบุคคลที่ต้องการหางานก็เช่นกัน ได้มีการพยายามสร้างโปร์ไฟล์ หรือประวัติของตนเองขึ้นมาเพื่อบ่งบอกให้รู้ว่าตนเองต้องการสิ่งใดบ้าง

Social Media กับการหางาน เกี่ยวข้องกันได้อย่างไร ?

เป็นที่ทราบกันดีว่า คนส่วนใหญ่ที่ประสบความสำเร็จในการหางานนั้น ล้วนแล้วแต่เกิดจากการแนะนำเพื่อนบอกต่อเพื่อนเป็นส่วนใหญ่ (Referral) และจากสถิติ User Demographic ของกลุ่มผู้ใช้งาน Social Media พบว่า ผู้ใช้งานส่วนใหญ่ตกอยู่ช่วงอายุเฉลี่ย 24-54 ปี ซึ่งสอดรับกับกลุ่ม White Collars Worker หรือกลุ่มวัยทำงานนั่นเอง จากเหตุผลดังกล่าวข้างต้น จึงไม่ต้องแปลกใจเลยว่า Social Media สอดรับกับการหางานมากแค่ไหน

ปัจจุบัน Social Media มีอยู่เยอะแยะมากมายจนนับไม่หวาดไม่ไหว เราจะรู้ได้อย่างไรว่า ตัวไหนควรใช้บ้าง?


ในเบื้องต้น ขอแนะนำ Facebook , Twitter, LinkedIn และ YouTube มาดูเหตุผลกันดีกว่าว่าทำไม

Facebook
หากคุณกรอกโปร์ไฟล์ส่วนตัว ประวัติการศึกษา และประวัติการทำงานได้ครบถ้วนสมบูรณ์ เฟสบุ้กเป็นอีกช่องทางนึงที่มีระบบสืบค้นที่ค่อนข้างตรงและแม่นยำ ลองนึกภาพตามว่า หากบริษัทแห่งหนึ่งต้องการหาบุคลากรที่มาจากบริษัทคู่แข่ง หรือ จากสถาบันการศึกษาเฉพาะที่กำหนดไว้ แค่พิมพ์ชื่อบริษัทหรือสถานศึกษาลงไป และทำการสืบค้น รายชื่อโปร์ไฟล์ของผู้ที่เกี่ยวข้องก็แสดงปรากฏในลิสต์เพียงไม่กี่วินาที

Twitter
เนื่องจากทวิตเตอร์เป็น Communication Tool ที่มาแรง และทรงอิทธิพลในยุคปัจจุบันมากที่สุดตัวหนึ่ง ด้วยจำนวนผู้ใช้งานมากถึง 190 ล้านคนทั่วโลก สื่อสารผ่านข้อจำกัดที่พิมพ์ได้ครั้งหนึ่งไม่เกิน 140ตัวอักษร เราสามารถติดตาม (Follow) กลับทางเดียว โดยที่คนคนนั้นไม่จำเป็นต้อง Follow เราอยู่ ซึ่งต่างจาก Social Media ประเภทอื่น ๆ ที่จะต้องมีเน็ตเวิร์กร่วมกันหรือเป็นตกลงเป็นเพื่อนกันก่อนจึงจะสามารถ ติดตามความเคลื่อนไหวของกันและกันได้ และ เนื่องด้วยการตาม Timeline ของบุคคลมากหน้าหลายตาทำให้เราเหมือนรู้จักใกล้ชิดสนิทสนมกับบุคคลนั้นไปโดย ปริยาย ทวิตเตอร์จึงเป็นเครื่องมือที่บรรดาบริษัท/องค์กร/บริษัทจัดหางานต่าง ๆ พร้อมใจกันใช้เป็นเครื่องมือประชาสัมพันธ์ค่อนข้างประสบความสำเร็จและสามารถ เข้าถึง เกิดการบอกต่อจนเกิดจำนวน Follower ที่เพิ่มขึ้น

LinkedIn ถือเป็น Social Media ที่จัดการด้านการหางานโดยตรง นอกจากจะช่วยในการพบเห็นประวัติ โดยมีจุดประสงค์ให้ผู้ใช้งานสามารถสร้างหน้าฝากประวัติ หรือโปร์ไฟล์ของตัวเองให้ดูโดดเด่น โดยเท่าที่เห็นส่วนใหญ่จะเขียนประวัติในลักษณะเป็นทางการ ต่างจากการเขียนประวัติใน Social Media อื่น ทั้งนี้เพื่อต้องการสร้างความน่าเชื่อถือ เพื่อเป็นโปร์ไฟล์ที่น่าสนใจแก่ตลาดหรือองค์กร ซึ่งองค์กรเหล่านั้นสามารถเข้าถึงเจ้าของโปร์ไฟล์ ได้โดยตรงด้วยระบบค้นหา

YouTube
ยูทูปเป็นเว็บไซต์ที่ผู้ในหลายๆ องค์กรพยายามที่จะนำมาประกอบกับการสัมภาษณ์งาน เช่น การให้ผู้สมัครงานอัปโหลดวิดีโอแนะนำตัวเองแบบสั้นๆ และส่งลิงค์มาให้พิจารณาก่อนที่จะมาสัมภาษณ์จริง ทั้งนี้เพื่อพิจารณาลักษณะหน้าตา บุคลิกภาพ และ ท่วงทำนองการสื่อสาร

เรื่องที่ไม่ควรมองข้าม เวลาหางานผ่าน Social Media

เมื่อรู้แล้วว่าเราควรใช้ Social Media อันไหนบ้าง ทีนี้เรามาลองพิจารณากันรายตัว เริ่มตั้งแต่

Facebook
- เขียนประวัติให้ครบถ้วน ทั้งในด้านการศึกษา สถานที่ทำงาน การเขียนโปร์ไฟล์ครบก็เพิ่มโอกาสในการ แต่ทั้งนี้เมื่อคำนึงถึงความปลอดภัยของทั้งตัวคุณและข้อมูล ไม่จำเป็นต้องกรอกประวัติส่วนตัวที่สามารถเข้าถึงตัวคุณได้โดยตรง เช่น เบอร์โทรศัพท์ หรืออีเมล เนื่องจากเฟสบุ้กมีการให้ใช้กล่องข้อความเพื่อการสื่อสารระหว่างกันอยู่แล้ว

- โพสต์ข้อความ รูปภาพ วิดีโอแสดงความเป็นตัวตน แสดงความสามารถพิเศษ เพื่อให้บริษัทสามารถศึกษาความเป็นตัวตนของคุณได้

- ไม่อ้างอิง ฝักใฝ่การเมืองฝ่ายใด ด้วยการไม่เข้าร่วม กลุ่มทางด้านการเมือง เนื่องจากบางบริษัทฯ มองว่าเป็นเรื่องละเอียดอ่อน และไม่ต้องการให้พนักงานของตนเข้าไปมีส่วนร่วม

- เข้าร่วมกลุ่ม เข้าร่วมกิจกรรม ของหน่วยงาน/องค์กรที่สะท้อนความเป็นตัวตนของคุณ และ ไม่ขัดต่อหลักจริยธรรม

Twitter
- เนื่องจากการเขียนประวัติส่วนตัว (Bio) ในทวิตเตอร์มีข้อจำกัดในการเขียนได้ไม่เกิน 160 ตัวอักษร การเขียนประวัติข้อมูลส่วนตัวจะต้องทำอย่างกระชับบ่งบอกตัวคุณเอง การทำงาน กิจกรรมยามว่าง ความสนใจ อย่างสั้น ๆ ได้ใจความ

- ใส่ภาพ Avatar ที่เป็นภาพจริงของคุณในลักษณะปกติ บ่งบอกความเป็นตัวตนของคุณ

- ทำ Image Background โดยเพิ่ม Bio ที่น่าสนใจในตัวคุณลงไปเพิ่มเติม ยกตัวอย่าง กรณี @yokekung มีการเพิ่ม Text ลงใน Image Background พูดถึง ลักษณะงานที่สนใจ รวมทั้งเขียน URL ผลงานของตนเอง เพื่อให้ Visitor สามารถตามลิงค์เพื่อเปิดดูต่อได้

- ควร Follow บุคคลที่คิดว่า ลักษณะโปร์ไฟล์น่าสนใจ และไม่สุ่มเสี่ยงต่อการผิดจริยธรรมอันดีของสังคม

LinkedIn
- กรอกข้อมูลให้ครบทุกอย่าง ในรูปแบบทางการ และดูเป็นมืออาชีพ ไม่ว่าจะเป็น รูปภาพ ประวัติการศึกษา ประวัติการทำงาน

- หากสามารถทำให้บุคคลอื่นๆ เข้ามาเขียน Recommendation ในตัวเรา ในผลงานของเรา เพื่อสร้างให้โปร์ไฟล์ของคุณให้ดูดีและมีความน่าเชื่อถือ

- เชื่อมต่อโปร์ไฟล์ของตนเอง ด้วยการติดต่อขอ Connection กับบุคคลที่มีชื่อเสียง มีความสามารถ

YouTube
หากความสามารถอันบรรเจิดของคุณสามารถโลดแล่นบนวิดีโอเพียงสั้นไม่กี่ นาทีได้ อย่ารีรอที่จะสร้าง ตัดต่อ และโพสต์ออกมา เพื่อแสดงศักยภาพในตัวคุณอีกมุมมองหนึ่ง ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนและประสบความสำเร็จ คือ สาวเกาหลีที่ชื่อ คิม โยว ฮี หรือ ที่ทุกคนใช้คำว่า Apple Girl ในการค้นหาวิดีโอของเธอ โดยเธอมีความสามารถพิเศษทางด้านการดนตรี โดยการนำ ไอโฟนหลายๆ เครื่องใช้ในการทำเพลงเสมือนอัดเพลงอยู่ในห้องสตูดิโอ เธอได้ทำการเล่นดนตรีและโพสต์วิดีโอการแสดงขึ้นยูทูป อีกต่อมาไม่นานเธอก็ได้งานที่เธอถนัด เซ็นสัญญากับค่ายเพลงในเกาหลี

ทั้งนี้ทั้งนั้น การโพสต์ข้อมูลขึ้น Social Media ควรคิดก่อนโพสต์ทุกครั้ง เพราะข้อมูลทุกอย่างสะท้อนล้วนแล้วแต่เป็นกระจกเงาสะท้อนด้านดีหรือด้านเสีย ของคุณ ดังคำกล่าวของท่านประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาบารัค โอบาม่า ที่กล่าวเตื่อนสติวัยรุ่นอเมริกันทุกคนให้ระมัดระวังคำพูดก่อนที่จะโพสต์ข้อ ความต่าง ๆ ลงเฟสบุ้กเพราะในอนาคตข้างหน้าเมื่อก้าวเข้าสู่วัยทำงาน หรือ กำลังมองหางาน ข้อมูลทุกอย่างที่ปรากฏอยู่ในเฟสบุ้กหรือทวิตเตอร์ ล้วนแล้วแต่เป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจจ้างงานจากนายจ้าง และข้อมูลทุกอย่างล้วนอยู่ในผลลัพธ์การค้นหาแทบทั้งสิ้น

ทำอย่างไรให้ประสบความสำเร็จในการหางานด้วย Social Media

จากเหตุผลร้อยแปดประการดังกล่าวข้างต้น ขอสรุป 3 ข้อสั้น ๆ ดังต่อไปนี้

1.เขียนประวัติโปร์ไฟล์ตนเองให้ถูกต้อง ครบถ้วน แสดงศักยภาพของตัวเองเท่าที่มี และเหมาะสมกับ Social Media แต่ละประเภทโดยเขียน โพสต์รูปภาพ วิดีโอทุกอย่างบนพื้นฐานความจริง สิ่งไหนไม่ดีเป็นข้อด้อยของตัวเอง ไม่จำเป็นต้องเขียนบรรยายสรรพคุณสิ่งนั้นออกมา และระมัดระวังการเขียน ตอบโต้ และโพสต์ข้อความในแง่ลบหรือพาดพิงถึงผู้อื่น จำไว้ว่าทุกอย่างล้วนแล้วแต่เป็นหลักฐานชั้นดีในอนาคตการทำงานของคุณ

2.พยายามสร้างปฏิสัมพันธ์ (Interaction) กับบริษัทหรือองค์กรที่หมายปอง เรียกง่ายๆ ว่า บางครั้ง เราจำเป็นต้องเสนอตัวและสร้างสถานการณ์ขึ้นมาด้วย เช่น กรณีการสอบถามตอบโต้กับบริษัทนั้นๆ ทั้งนี้เพื่อสร้างแรงดึงดูดและจุดสนใจให้กับบริษัทรู้จักเรามากยิ่งขึ้น

3.ใช้ประโยชน์และข้อดีจากเครื่องมือ Social Media แต่ละประเภท จำไว้ว่าคุณยิ่งถือครอง Social Media และเชื่อมโยงเข้าไว้ด้วยกันมากเท่าไหร่ จะเพิ่มโอกาสให้นายจ้าง หรือ บริษัทจัดหางานค้นหาและแกะรอยข้อมูลของคุณได้มากยิ่งขึ้นผ่านเสิร์ช เอนจินต่างๆ ขอยกตัวอย่างกรณีเสิร์ชในกูเกิลคำว่า Pawoot ผลลัพธ์การค้นหา จะพบทั้ง Facebook, Twitter, Youtube, Foursquare และ Blog ต่างๆ มากมาย


แล้วในมุมมองของบริษัทจัดหางานในประเทศไทยหละ มีการนำ Social Media ไปใช้บ้างหรือยัง

จากการสำรวจการใช้ Social Media ในธุรกิจจัดหางานและสรรหาบุคลากร พบว่าบริษัทรับประกาศตำแหน่งงาน (Job Posting Company) บริษัทจัดหางาน (Recruitment Agency) หรือที่ใครหลายคนนิยมเรียกติดปากว่า Head Hunter หรือแม้กระทั่งบริษัท หน่วยงาน องค์กรต่าง ๆ ได้มีการนำ Social Media ใช้เพิ่มมากขึ้น โดยลักษณะการกระจายข้อความส่วนใหญ่จะเป็นการประกาศตำแหน่งงานว่าง คุณสมบัติของผู้สมัครงานที่สนใจ ความรู้ทางด้านการพัฒนาศักยภาพ รวมทั้งมีการวาง URL เพื่อลิงค์กลับเข้าไปยังเว็บไซต์ของตนเอง เพื่ออำนวยความสะดวกให้ผู้สมัครงานสามารถเข้าเว็บไซต์เพื่อสมัครงานได้โดย ตรง

และเนื่องจากในปัจจุบัน หากเราอยากรู้จักคนหนึ่งคน สิ่งที่เราทำอันดับแรกอาจเป็นการเสิร์ช ชื่อคนคนนั้นจากกูเกิล และก็ไม่แปลกใจที่ผลการค้นหาอันดับต้นๆ นั้นมาจาก Social Media แทบทั้งสิ้น บริษัทจัดหางานต่างๆ จึงใช้ช่องทางนี้เป็นช่องทางในการสืบค้น ตรวจสอบประวัติของคุณก่อนเรียกสัมภาษณ์เช่นกัน อีกทั้งหากสังเกตแบบฟอร์มสมัครงานปัจจุบันของหลายๆ องค์กร ก็จะพบว่ามีช่องเพิ่มเติมให้กรอก URL ส่วนตัว, Facebook Account , Twitter ID

ดังนั้น ใครที่กำลังมองหางานกับบริษัทเป้าหมาย ก็อย่าลืม Follow หรือ ไปกดปุ่ม Like บริษัทนั้น ๆ ไว้ เพื่อให้มีข้อมูลงานตำแหน่งใหม่ๆ Feed เข้ามาใน Wall หรือ ใน Timeline ของคุณอย่างสม่ำเสมอ เผื่อมีตำแหน่งงานที่น่าสนใจตรงกับคุณสมบัติของคุณ หรือเป็นตำแหน่งงานที่สามารถส่งต่อไปยังเพื่อน ๆ ในเครือข่ายของคุณได้

ทั้งหมดที่กล่าวมาข้างต้นล้วนแล้วแต่เป็นวิธีการ (How To)ในการสร้างโอกาสในการนำเสนอ ให้คุณในการถูกเรียกสัมภาษณ์จากนายจ้างได้เร็วขึ้น มีโอกาสในการเรียกสัมภาษณ์ แต่สุดท้ายแล้วการจะได้งานหรือไม่ได้งานนั้นจะอยู่ที่ศักยภาพของคุณ ดังนั้น นอกจากจะมีโปร์ไฟล์ ใน LinkedIn ที่สวยเนี้ยบเฉียบหรูดูทางการ มีข้อมูลบนเฟสบุ้กที่บ่งบอกความเป็นตัวตนที่แท้จริงของคุณ มีการทวีตข้อความดีๆ ใน Twitter มีวิดีโอในยูทูปที่ดูโดดเด่น แต่ความเป็นจริงแล้วสิ่งที่คุณขาดไม่ได้คือ ต้องพัฒนาศักยภาพของตัวเอง หรือ สร้างความมั่นใจ รวมทั้งแสดง Talent ที่มีอยู่ในตัวคุณให้ฉายแววออกมาสู่สภาพความเป็นจริงเมื่อนายจ้างเรียก สัมภาษณ์เข้าตำราทำ Marketing ดี Product ก็ต้องดีด้วยนะคะ

ขอให้โชคดีในการหางานตรงใจทุกคน หาคนตรงใจทุกงาน

ที่มา
ผู้จัดการออนไลน์

วันจันทร์ที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2553

ปรับแต่ง Onpage ให้ดีที่สุด เพื่อผลการจัดอันดับที่ดีที่สุด

ปรับแต่ง Onpage ให้ดีที่สุด เพื่อผลการจัดอันดับที่ดีที่สุด

จากประสบการณ์ในการทำ SEO ( Search engine Optimization ) อันน้อยนิด บวกกับภาษาอังกฤษอันน้อยนิดไปด้วย หลังจากการหาข้อมูล บวกกับประสบการณ์ของตัวเองนั้นได้ค้นพบความจริงที่ว่า ถึงแม้ว่า Search engine โดยเฉพาะ อาร์ตตัวแม่อย่าง Google จะให้ความสำคัญกับ Offpage มาเป็นอันดับ 1 แต่ก็ยังคง ให้ความสำคัญกับ Onpage ไม่น้อย ดังจะเห็นได้จากเว็บไซต์ที่ได้อันดับดี ๆ (ในที่นี่ผมหมายถึงอันดับ 1) กลับมีการปรับแต่ง Onpage หลาย ๆ อย่างคล้ายกัน ดังนี้

1.การเข้าถึง
การเข้าถึงของ Search Engine ในเว็บไซต์ที่ดีนั้นจะควบคุมไม่ให้มีลิงค์เสีย หรือหน้าที่ไม่สามารถอ่านได้ เลยแม้แต่หน้าเดียวส่งผลให้การเข้าเก็บข้อมูลของ Bot เพื่อนำเอาไป index ไว้ในฐานข้อมูลเป็นไปได้อย่างราบรื่นไม่มีติดขัด การไต่ของบอทจึง “ลึก” และ “เร็ว” กว่าเว็บที่มีหน้าเสีย มีลิงค์เสียอยู่มากมาย

2.เนื้อหา
Content is King ยังคงใช้ได้อยู่เสมอแม้ในชั่วโมงที่ Search engine ตัวแม่อย่าง Google ไม่สนใจ แต่เราต้องไม่ลืมว่า ยังไงเสีย Search engine ก็ยังคงต้องการ เนื้อหาใหม่ ๆ ที่ไม่มีในสารบบ เพื่อการนำไป index เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีแก่ผู้ใช้

ตรงนี้ผมมีประสบการณ์จาก เว็บไซต์เพื่อนคนนึงซึ่งเป็นมือใหม่ในการทำเว็บ เรียกว่าไม่เคยทำเว็บมาก่อนเลยทีเดียว ผมบอกให้เค้าทำตามที่ผมบอก ด้วยการอัพเดทเนื้อหา สด ๆ หรือ Unique content. ทุึกวันวันละหนึ่งบทความ เวลาผ่านไปหนึ่งเดือน เนื้อหามี 30 บทความพอดี และบังเอิญ Google ปรับ PR เชื่อไหมว่าเว็บไซต์น้องใหม่นี้ได้ PR5 ทันที อยากเห็นดูตามลิงค์เว็บนี้ไปได้เลยครับ

นอกจากเนื้อหาดี ๆ จะเป็นที่สนใจของ Search engine แล้วยังจำเป็นต้องดึงดูดความสนใจ ของผู้เข้าชมเพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดี และเนื้อหาดี ๆ เหล่านี้จะกระตุ้นให้ผู้เข้าชมอย่างแบ่งปัน โดยการนำไปแนะนำตาม Social Community ต่างๆ ซึ่งตรงนี้นี่เองจะเป็นผลพลอยได้ให้ มีการสร้าง Backlink คุณภาพ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญอันดับ 1 ของการทำ SEO

3.การปรับแต่ง Onpage พื้นฐาน
การกำหนด Keyword สำหรับ Webmaster มือใหม่หลายๆ คนตกม้าตายง่าย ๆ ด้วยการสร้างเว็บขึ้นมาจนเว็บเป็นรูปเป็นร่างแล้ว แต่ยังไม่รู้เลยว่าตัวเองต้องการทำอันดับใน Keyword ตัวไหน
ดังนั้นสิ่งแรกที่ผมจะแนะนำ ในการทำ Onpage ให้เว็บไซต์คุณคือการกำหนด Keyword ให้เว็บไซต์ การกำหนด Keyword ให้บทความที่คุณกำลังจะเขียน เมื่อคุณกำหนด Keyword ให้บทความคุณได้แล้วนั้นคุณจะต้องวาง Keyword ให้อยู่ในตำแหน่งสำคัญของบทความ ( URL, Title ,Internal link ) ทั้งนี้เพื่อให้ Search engine เ่ข้าใจว่าเราเขียนถึงเรื่องอะไร และเมื่อมีผู้เสริชหาข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนั้น ๆ Search engine จะได้นำข้อมูลไปนำเสนอให้แก่ผู้สืบค้นได้ถูก

4.การตลาดที่ดี
ใครว่าทำเว็บไซต์ไม่เกี่ยวกับการตลาด การทำเว็บไซต์ให้ประสบความสำเร็จคุณจำเป็นต้องวิเคราะห์ตลาด ต้องรู้ว่าผู้สืบค้นข้อมูล ในที่นี้ก็คือลูกค้านั่นเอง เร้าต้องรู้ว่าลูกค้าต้องการอะไร เพื่อที่เราจะได้หามาตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ถูก

สำหรับการตลาดส่วนที่เกี่ยวข้องกับ การทำ Onpage ให้เว็บไซต์คุณคือ เมื่อคุณทำสามข้อด้านบนมาหมดแล้ว คุณจะทำยังไงให้บทความดี ๆ เนื้อหาดี ๆ ของคุณถึงมือลูกค้า อย่างสมบูรณ์แบบและไวที่สุด ทั้งนี้เพื่อกระตุ้นให้เกิดการแบ่งปันระหว่างผู้ใช้ เพื่อ Backlink ที่จะย้อนกลับเข้ามาหาเราในอนาคต
ยิ่งปัจจัยล่าสุดที่ Google เผยไต๋ออกมา คือ อัลกอริทึ่มปัจจุบันและอนาคตจะนำส่วนของ Traffic หรือ อัตราการเข้าชมเว็บไซต์มาคิดคำนวณเพื่อจัดอันดับเว็บไซต์ด้วย ดังนั้นการตลาดคือสิ่งจำเป็นในการทำอันดับไปโดยปริยาย

5.Hosting หรือพื้นที่ในการวางเว็บไซต์
ผมจัดให้ Hosting อยู่ในส่วนของการทำ Onpage ให้เว็บไซต์ เนื่องจากว่าเป็นปัจจัยที่เราสามารถควบคุมได้ เราสามารถควบคุมได้โดยการเลือกหา Hosting ที่เร็วแรง และสเถียรภาพ สิ่งที่ Webmaster มือใหม่ไม่รู้และผิดพลาดกันมาก อีกส่วนหนึ่งคือส่วนนี้ คุณเชื่อหรือไม่ว่าเพียง โฮสที่คุณเลือกใช้ล่ม หรือใช้งา่นไม่ได้แค่ 30 นาที และเป็น 30 นาทีที่ Google Bot กำลังเข้ามาตรวจสอบเพื่อเก็บข้อมูลเว็บไซต์คุณนั้น มันสามารถทำให้คุณร่วงจากอันดับหนึ่งไปอยู่หน้า 2 ได่้เลยทันที และล่าสุดอีกเหมือนกันที่ Google เผยไต๋ออกมา ว่า อัลกอริทึ่มตัวใหม่จะใช้ ความเร็วของการโหลดหน้าเว็บไปคำนวณเพื่อจัดอันดับด้วย
นอกจากการโ่หลดหน้าเว็บที่รวดเร็วจะส่งผลดีต่อ Search Engine แล้วยังส่งผลดีกับผู้เข้าชมเว็บไซต์คุณ คุณคงไม่ปลื้่มนักที่เข้าเว็บไซต์เพื่อจะหาข้อมูล หรือซื้อสินค้า แล้วหน้าเว็บโหลดทีใช้เวลาเป็นนาที สำหรับผมแล้ว แค่ 30 วินาที ผมก็ปิดทิ้งแล้ว นอกจากการโหลดหน้าเว็บแล้ว การเลือกใช้ Hosting ที่แรง ๆ นั้น ส่งผลต่อการเก็บข้อมูลของ Google Bot ให้เป็นไปอย่างราบลื่นการไต่ของบอทจะไต่ได้ “ลึก” และ “เร็ว” กว่า

ดังนั้น ถ้าคุณทำเว็บไทย คุณก็ควรเลือกใช้ Hosting ที่ตั้งอยู่ในประเทศไทยเพื่อความเร็วของการแสดงหน้าเว็บ ถ้าทำเว็บนอกก็ควรใช้เว็บที่ Server ตั้งอยู่ในประเทศนั้น ๆ เพื่อความรวดเร็วเช่นกัน สำหรับมือใหม่ อยากทำเว็บขายสินค้าหรือเว็บไซต์เพื่อทำ Adsense ก็ตาม ถ้าเป็นโฮสนอกผมแนะนำ Hostgator ที่ผมใช้อยู่ ซึ่งราคาถูก และให้พื้นที่ กับ Domain Unlimited ถ้าเป็นโฮสไทย ผมใช้อยู่้สองที่ แต่เนะนำของน้องคนนึง โฮสแรง บอทแรง ที่ Hosting IDC www.hostingidc.com ลองใช้กันดูครับ

6.การปรับ Onpage ด้วยการใส่ใจทุกรายละเอียด
สิ่งสำคัญเหนืออื่นใดในการทำ Onpage SEO คือการใส่ใจรายละเอียดในการปรับแต่ง Onpage ทุกขั้นตอนเพราะการทำ Onpage เป็นสิ่งที่เราควบคุมได้เองทุกขั้นตอน เป็นคะแนน Ranking ที่เราได้มาด้วยตัวเราเอง

คัดลอกจาก
http://www.seosamutprakarn.com/%e0%b8%9b%e0%b8%a3%e0%b8%b1%e0%b8%9a%e0%b9%81%e0%b8%95%e0%b9%88%e0%b8%87-onpage-%e0%b9%83%e0%b8%ab%e0%b9%89%e0%b8%94%e0%b8%b5%e0%b8%97%e0%b8%b5%e0%b9%88%e0%b8%aa%e0%b8%b8%e0%b8%94-%e0%b9%80%e0%b8%9e/.html

วันอาทิตย์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2553

เรียนรู้การทำเงินจากการตลาดข้างถนน

โดย ปภาดา อมรนุรัตน์กุล - @goople

อย่าปล่อยให้สูตรการตลาดสำเร็จรูปครอบงำกิจการออนไลน์ของคุณจนมันเติบโตผิดรูปผิดร่าง ขอให้บทเรียนจากการตลาดข้างถนน ที่ @goople นักเขียน วิทยากร และผู้บริหารบริษัทที่มีชั่วโมงบินสูงในวงการการตลาดออนไลน์ ได้จุดประกายไว้นี้ เป็นแรงผลักดันให้คุณทำความเข้าใจกับกิจการของตัวเอง แล้วลงมือปรับปรุงให้บริษัทประสบความสำเร็จเหมือนธุรกิจน้อยใหญ่ที่รายล้อมตัวคุณในชีวิตประจำวัน


ในยุคของการใช้สื่อออนไลน์กันอย่างมากมาย วันๆ เราต้องมาคิดว่า เราจะการตลาดแบบไหนถึงจะเข้าถึงกลุ่มลูกค้าของเราดี ไม่ว่าจะเป็นการใช้หลักการตลาดอย่าง 4P ที่นักการตลาดเรียนรู้กันดี ได้แก่ Price Place Product และ Promotion ซึ่งถ้าถามนักการตลาดส่วนใหญ่แล้ว 4P นี้ แทบจะนำมาเรียนรู้และใช้งานกันอยู่ตลอดเวลา แต่ถ้าเป็นชาวบ้านทั่วๆ ไปนั้น คงจะไม่รู้หรอก ว่าอะไรคือการหลักการตลาด อะไรคือ 4p, Brand Loyalty, Blue Ocean, และอีกหลายสูตรที่คิดค้นให้กับการวางแผนการตลาดขึ้นมาเพื่อให้ถูกใจกับลูกค้าและก่อให้เกิดกำไรสูงสุด

แน่นอนว่า สูงสุดสู่สามัญ บางครั้งเราควรคิดและทำอะไรง่ายๆ กันดูบ้าง เพราะอาจจะดีกว่า หากคุณลองสลัดสูตรต่างๆ ทางการตลาดออกไป แล้วแวะไปหาการตลาดข้างถนนแทน

อย่างวันก่อนนี้ ดิฉันแวะไปกินข้าวในร้านข้าวแถว office มา พบวิธีการทำตลาดแบบง่ายๆ แต่ได้ผลดี คือ ที่ร้านขายอาหารตามสั่งนั้น ขึ้นป้ายไว้ตัวใหญ่ ว่า “กำลังจะย้ายร้าน ขอตอบแทนลูกค้าทุกคนด้วย ราคายำ 15 บาท” แล้วก็มีป้ายชื่อ ยำต่างๆ ติดบริเวณด้านล่าง ยำปลาหมึก ยำมาม่า ยำวุ้นเส้น ยำรวมมิตร ยำหมูยอ ฯลฯ

หากมองผิวเผินเราก็จะพบว่า เป็นการขายอาหารแบบปกติ และมีการอ้างอิงการใช้ P ตัวที่ 4 คือ Promotion ที่สร้างแคมเปญดึงดูดลูกค้าให้มารับประทานกัน แต่หากมาวิเคราะห์กันให้ชัดๆ เราจะเห็นได้ว่า ทางร้านค้านั้น ได้ศึกษาถึงพฤติกรรมผู้บริโภคมาแล้ว ด้วยหลักการง่ายๆ คือ ลูกค้าที่เข้าไปรับประทานอาหารนั้น ส่วนใหญ่แล้ว จะเป็นชาวบ้านแถวนั้น หรือคนเดินผ่านทาง และพฤติกรรมการกินคือ สั่งข้าวคนละจาน เพื่อรีบกิน รีบไป แต่เมื่อเห็นป้ายลดราคายำต่างๆ ของทางร้าน ปรากฏว่าแทบทุกโต๊ะ จะสั่งยำขึ้นมาทานเล่น หรือกินคู่กับอาหารจานหลักที่สั่งไปแล้ว ทั้งๆ ที่ไม่จำเป็นต้องสั่ง

ลูกค้าหลายคนสั่งมาชิมๆ ไปอย่างนั้น และถ้าไม่มีป้ายลดราคายำนี้ ทุกคนจะกินข้าวจานเดียวกลับออกไป แต่เมื่อทุกคนเห็นป้ายลดราคายำ ทุกคนสั่งมากินเล่น โดยไม่นึกเสียดายเงิน เพราะเห็นว่า ราคาไม่แพง ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว “ยำ” เป็นอาหารทานเล่น ไม่จำเป็นต้องกิน ไม่จำเป็นต้องสั่ง แต่เมื่อมีการลดราคาแบบนี้ แน่นอนว่า ทุกคน ทุกโต๊ะ สั่งมาทานกันทั้งนั้น ทำให้รายได้เพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ

จากหลักการง่ายๆ ข้างต้น สรุปออกมาเป็นข้อๆ ที่คนทำธุรกิจจำเป็นต้องรู้ มีดังนี้

1. สำรวจตัวเอง

สำรวจตัวเอง อันนี้ ต้องเข้าใจในตัวของเรา ร้านของเราอย่างชัดเจน เช่น ร้านเราขายอาหารตามสั่ง อะไรที่จุดเด่น จุดด้อยของร้านเรา ถ้าเราขายหมูทอดได้อย่างโดดเด่น เราก็สร้าง brand ไปเลยว่า ถ้าคิดถึงหมูทอด ก็ต้องมีหมูทอดร้านเรา อย่างเช่น หมูทอดร้านเจ้จง ที่ตอนนี้ ขายดีเป็นเทน้ำ เทท่าไปแล้ว นั่นเป็นเพราะเขารู้จักสำรวจตัวเอง รู้ว่า อาหารขึ้นชื่อของร้านคืออะไร และจะทำการตลาดกับจุดเด่นของเราได้อย่างไร เป็นต้น

2. กลุ่มเป้าหมายของเรา หรือลูกค้า (Target group)

จากตัวอย่างที่ยกมาให้ดูนี้ ว่าเป็นร้านอาหารตามสั่ง ก็สามารถเรียนรู้จากพฤติกรรมผู้บริโภคได้ว่า ส่วนใหญ่เป็นคนสั่งข้าวจานเดียว โดยส่วนใหญ่มาทานคนเดียวหรือ 2 คนเท่านั้น เป็นต้น

3. การติดตามผล (Tracking)

จากตัวอย่างที่ยกมานี้ ร้านค้านี้ มีการทำติดตามผล ด้วยการติดตามผลว่า ยำอะไรขายดีที่สุด และอาจจะนำยำที่ขายดีที่สุดมาจัดโปรโมชั่นหรือการตลาดพิเศษเพิ่มเติมในอนาคตต่อไปได้

เพราะนอกจากนี้ ถ้าวิเคราะห์กันดีๆ จะพบว่า สินค้าเหลือใช้ หรือสินค้าส่วนเกินนี้เองที่จะเป็นตัวที่ทำตลาดได้มากที่สุด การสั่งอาหารมักจะเป็นกระเพราไก่ไข่ดาว เป็นอาหารที่ขึ้นชื่อที่ทุกร้านต้องสั่งอยู่แล้ว เราก็สามารถทำการตลาดกับการขายข้าวกระเพรา+ไข่ดาว ได้เพิ่ม อาจจะเป็นเมนูคอมโบเซ็ต เช่น สั่ง กระเพราะ+ไข่ดาว เพิ่ม 10 บาท ได้น้ำแกงเล็ก 1 ถ้วย เป็นต้น

การตลาดข้างถนนอีกตัวอย่างหนึ่งที่น่าสนใจก็คือ มีพ่อค้าคนหนึ่งเป็นช่างปั้นพระพิฆเณศ แต่เป็นพระพิฆเณศปางใหม่ ถ้าเอามาตั้งขายตามปกติ แน่นอนว่า ขายไม่ได้แน่นอน เขาเลยคิดวิธีการตลาดโดยใช้หลักการง่ายๆคือ ให้มีการเปิดประมูลซื้อรูปปั้นพระพิฆเณศนี้ ที่ย่านแหล่งชุมชนนั่นก็คือ รัชดาฯ นี่เอง

การเปิดการขายแบบประมูล แบบนี้ ทำให้มีคนสนใจมากมาย แล้วก็ขายสินค้าได้ราคาดี มีคนสั่งจอง แทบจะทำกันไม่ทันเลยทีเดียว เพียงแต่การตลาดแบบนี้ ต้องอาศัยความกล้ามากหน่อย แต่ผลที่รับก็คุ้มค่า คุ้มกับที่สิ่งที่ได้ลงทุนลงแรงไปกันเลยทีเดียว

นี่เป็นตัวอย่างการทำตลาดแบบไม่ต้องอาศัยหลักการและทฤษฎีอะไรมาก แค่สร้างโอกาสให้กับตัวเอง หาจุดเด่น จุดด้อยของตัวเราเอง จับมาทำการตลาด รายได้ก็จะเพิ่มขึ้นโดยอัตโนมัติ

อย่าลืมนะคะว่า บางทีการตลาดแบบง่ายๆ ก็อยู่ใกล้ตัวเรามากกว่าที่คิด…


ที่มา
ผู้จัดการออนไลน์

วันพุธที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2553

3G-Cloud เกิด E-Commerce เปลี่ยน

3G-Cloud เกิด E-Commerce เปลี่ยน

ในเมื่อวิถีการสื่อสารของมนุษย์ยังถูกปฏิวัติโดย 3G ขณะเดียวกัน วิถีการทำงานของมนุษย์ก็ถูกยกระดับขึ้นโดย Cloud Computing นับประสาอะไรกับวิถี E-Commerce หรือการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ ที่จะมีแรงต้านเฮอร์ริเคน 2 ลูกนี้

"พูนลาภ ชัชวาลโฆษิต" ผู้มีดีกรีเป็นเบื้องหลังการดำเนินยุทธศาสตร์การค้าออนไลน์แห่งอาณาจักรซีพี จะพาชาวผู้จัดการไซเบอร์ไปเห็นถึงช่องทางใหม่ที่คนอีคอมเมิร์ชไทยสามารถเปลี่ยนแปลงกระแสที่เกิดขึ้นให้เป็นโอกาสงามในตลาดโลกได้ โดยไม่ต้องทนงมเข็มในมหาสมุทรอีคอมเมิร์ชแบบเก่าอย่างเดียว

อีคอมเมิร์ชยุคหน้า ภายใต้อิทธิพล 3G และ Cloud Computing
โดย พูนลาภ ชัชวาลโฆษิต


แม้จะมีคำประกาศจากเว็บที่ให้บริการหลายรายว่าจะผลิกโฉมวงการ E-Commerce ของไทย แต่ความล้าหลังของ E-Commerce ของไทยยังปรากฏอย่างชัดเจนทุกครั้งที่มีใครเริ่มผลิกโฉมวงการ E-Commerce ด้วย Internet อย่างไรก็ตาม ทั้งหมดไม่ได้แปลว่าประเทศไทยไม่ได้เดินหน้าเข้าสู่ E-Commerce ยุคใหม่เช่นเดียวกับต่างประเทศ ถ้าอย่างนั้นสถานภาพ E-Commerce ของเมืองไทยจะเป็นเช่นไร ขอเชิญท่านผู้อ่าน Manager Online มาร่วมพิจารณาไปพร้อมกับผู้เขียนกันเลยครับ

E-Commerce ในปัจจุบันนั้น หมายความถึงการทำธุรกิจในหลากหลายรูปแบบและหลากหลายประเภทผ่านเครือข่ายสื่อสาร ไม่ได้จำกัดอยู่ที่ต้องเป็นการค้าปลีกเปิดหน้าร้านขายของประมูลของผ่านเครือข่าย Internet เท่านั้น

หากท่านผู้อ่านสามารถทำธุรกิจผ่านระบบหรือเครือข่ายสื่อสารแล้วให้มีชำระเงินกันผ่านระบบเครือข่าย ก็น่าจะอยู่ในขอบเขตของคำว่า E-Commerce เช่นกัน เราลองมาพิจารณาตัวอย่างดังต่อไปนี้กันนะครับ

กรณีเป็นสินค้า

ถ้าเราทำการนำเสนอขายสินค้าของบริษัทซึ่งอาจจะเป็นสินค้าประเภทใดก็ได้ผ่าน VDO conference ที่อยู่บนเครือข่ายโทรศัพท์แบบ 3G ในระหว่างที่ต้องไปประชุมกันที่สาขาของบริษัท ในอำเภอบุ่งคล้า จังหวัดบึงกาฬ เราสามารถนำเสนอกระบวนการผลิตจากสถานที่จริงให้ลูกค้าดูได้ว่า เราผลิตได้อย่างไร ปลอดภัยไร้สารพิษตกค้างไปถึงลูกค้าหรือไม่

ลูกค้าก็ดูเลย ถามกันสดๆ ไป หรือหากมีข้อเปรียบเทียบ หรือมีตัวอย่างหรือรูปแบบที่อยากให้เราผลิตให้ตามแบบที่ต้องการ ก็สามารถเตรียมมาเราก็ดูได้เลย เมื่อคุยกันเสร็จ เราก็ให้เขาทำการชำระเงินผ่านระบบ หรือโอนเงิน หรืออะไรก็ได้มาให้เรา

ซี่งสินค้าที่เราสามารถดำเนินการในรูปแบบนี้ได้ ก็ต้องเรียนว่า เป็นสินค้าอะไรก็ได้ครับ ตั้งแต่สินค้าเกษตร แบบพืชผักผลไม้ ปศุสัตว์ ทั้งแบบที่ผลิตส่งเลย และแบบแปรรูป หรือจะเป็นการทำหุ่นยนต์เหล็กจากเศษเหล็ก ที่พักอาศัย สินค้าจากอุตสาหกรรมรถยนต์ อะไหล่ และอุปกรณ์เสริม อุปกรณ์ตกแต่ง สินค้าอีเล็กทรอนิกส์ สินค้าประเภทเครื่องใช้อุปโภคบริโภค เฟอร์นิเจอร์และสินค้าตกแต่งบ้าน

เพียงแต่เราจัดสถานที่ของเราไว้เลย ให้รองรับการสร้างประสบการณ์แบบนี้ได้ ก็จะได้ความแปลกใหม่ในการขายสินค้าพร้อมกับประสบการณ์ ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวก็จะทำให้ที่ทำงานของเราค่อนข้างจะดูดีน่าทำงานซึ่งจะสร้างบรรยากาศในการทำงานที่ดีให้กับพนักงานของเราไปด้วย

และเมื่อเราพัฒนาทั้งหมดให้กลายระบบ มีกล้องวีดีโอถ่ายของจริงแบบอัตโนมัติเตรียมไว้ด้วย จนถึงระบบชำระเงิน นี่ใช่ E-Commerce หรือไม่ ผู้เขียนคิดว่าสิ่งที่อธิบายมาข้างต้นนั้นมันน่าจะเรียกว่า E-Commerce ในยุคของ Creative และ Service Economy แถมพ่วงด้วย Experience Marketing กันเลยทีเดียว ไร้ข้อจำกัดในประเภทของสินค้า ไม่ใช่ต้องมีคนกลางมาเปิดเว็บขายเหมือนเป็นห้างสรรพสินค้ากันอีกต่อไป

เพื่อขยายความให้ท่านผู้อ่านได้นึกภาพตามได้ทันกับตัวอย่างแรกไปนะครับ ท่านผู้อ่านอาจจะสังเกตได้ว่า ปัจจุบันอุปกรณ์ประเภท Audio/Video นั้นมีการพัฒนาไปมาก และราคาถูกลงอย่างมาก เราสามารถซื้อ LCD TV ขนาดจอภาพ 50” ได้ในราคาเพียงไม่กี่หมื่นบาทเท่านั้น ย่อมหมายถึง ในปีหน้าแทบทุกบ้านน่าจะมีเครื่องรับโทรทัศน์ที่มีจอภาพขนาดไม่ต่ำกว่า 25-30” กันแล้ว

หากมองไปที่องค์กร ก็คงต้องมีเครื่องรับโทรทัศน์ที่มีขนาดไม่ต่ำกว่า 50” ในห้องประชุมเป็นแน่ เรียกว่าเครื่องรับโทรทัศน์เครื่องหนึ่งมีขนาดเท่ากับหน้าต่างหรือประตูบานหนึ่งเลยทีเดียว

ที่สำคัญตอนนี้พวกเราก็ซื้อเครื่องรับโทรทัศน์ที่มีเทคโนโลยีจอภาพแบบ 3D และ HD กันแล้วด้วย ระบบเสียงก็เป็น HiFi Stereo แบบรอบทิศทางกันหมดแล้ว ยิ่งทำให้คุณภาพของภาพและเสียงที่ออกจากอุปกรณ์เหล่านี้ดีและชัดตามที่ต้องการกันเลยทีเดียว

ด้วยขนาดของจอภาพที่กล่าวมาข้างต้น หมายความว่า พวกเราจะสามารถสื่อสารกันในรูปแบบ VDO conference ระหว่างกันได้บรรยากาศเหมือนพวกเราคุยกันผ่านหน้าต่างหรือประตูกันเลยทีเดียว เราสามารถส่งข่าวสารที่เป็นภาพ เสียง และภาพเคลื่อนไหวที่ชัดเจนสมจริงกันได้ ดังนั้นเมื่อมีระบบเครือข่ายที่มีความเร็วสูงย่อมจะทำให้เกิดการสือสารเช่นนี้ได้

ผู้เขียนจะขอขยายภาพเพิ่มเติมจากข้างต้นอีกเล็กน้อย ว่าท่านผู้อ่านสามารถเพิ่มการบริการใส่เข้าไปในดำเนินธุรกิจแบบ E-Commerce ในยุคของ Creative และ Service Economy แถมยังมีรูปแบบของ Experience Marketing ร่วมไปด้วยได้อย่างไรอีกบ้าง ดังนี้ครับ

สมมติว่า สินค้าของผู้เขียนเป็นสินค้าเกษตรขายผ่านระบบไปยังต่างประเทศ เราสามารถมีบริการเสริมกับลูกค้าของเราได้ อาทิ การสอนทำอาหารไทยด้วยวัตถุดิบจากประเทศไทย การกินอาหารแบบบรรยากาศในประเทศไทยโดยมี VDO ที่ถ่ายทำจากสถานที่จริงของตลาดน้ำ แม่น้ำ ภูเขา ชายทะเล ฯลฯ ในประทศไทย หรือประเทศใดๆ ที่เราคัดสรรกันมาแล้ว หรือกระทั่งฟังดนตรีจากศิลปินไทยพื้นบ้าน เพียงลูกค้าสมัครซื้อวัตถุดิบจากเรา และมีห้องที่มีเครื่องรับโทรทัศน์ที่ชมได้สะดวก ซึ่งด้วยขนาดและศักยภาพของจอภาพเครื่องรับโทรทัศน์ก็สามารถจะสร้างบรรยากาศดังกล่าวได้ไม่ยากเย็นนัก

นอกจากรูปแบบของการขายสินค้าร่วมกับบริการที่เสริมเข้าไปเพื่อสร้างประสบการณ์ที่ยกมาข้างต้นแล้ว บางอย่างที่เป็นบริการล้วนๆ ก็ยังสามารถดำเนินการได้ เช่น การศึกษาทางไกล ในเส้นทางที่พวกเรากำลังจะเดินหน้าเข้าสู่การเป็นเขตเศรษฐกิจแบบอาเซียน + 3 เราสามารถที่จะขายการเรียนการสอนในรูปแบบที่มีการโต้ตอบ หรืออาจจะไม่โต้ตอบเมื่อเป็นการเรียนแบบ 24 ชั่วโมงตามผู้เรียนต้องการได้ โดยการผ่านระบบเครือข่ายความเร็วสูง ให้กับลูกค้าของเราที่อยู่ในเขตเศรษฐกิจอาเซียน + 3 ได้

มีผู้คนมากมายอยากเรียนรู้การทำอาหารแบบไทย ศิลปะแบบไทย กีฬาแบบไทย โดยที่ไม่ได้อยากจะเดินทางไปกลับเมืองไทยตลอดเวลา หรือมาอยู่ที่ประเทศไทยนานๆ และเช่นเดียวกัน เราเองก็อยากจะเรียนรู้วิทยาศาสตร์ บันเทิง และศิลป จากประเทศอื่นในเขตเศรษฐกิจอาเซียน + 3 เช่นกัน

ด้วยเครือข่ายความเร็วสูง รวมกับความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีของการนำเสนอข้อมูล อย่างอุปกรณ์ Audio/Video รุ่นใหม่ ย่อมเอื้อต่อการดำเนินการดังกล่าวได้

หันกลับมาธุรกิจ E-Commerce ของบ้านเรา พื้นฐานที่เราคิดหรือที่เราพูดคุยกันอยู่นั้นเป็น E-Commerce รุ่นแรกที่ได้ล่มสลายไปแล้ว ตั้งแต่ครั้งยุคฟองสบุ่ดอทคอม ราวปี 2000 เป็นยุคที่คิดว่า ทุกคนจะวิ่งเข้าไปใน Internet เพื่อซื้อทุกสิ่งทุกอย่าง ซึ่งก็มีส่วนถูก แต่นั่นเป็นเพียงคนกลุ่มเล็กของโลกเท่านั้น ดังนั้นรูปแบบของ E-Commerce จึงถูกพัฒนาให้กลายเป็น Brick & Click โดย Brick หมายถึง การดำเนินธุรกิจอยู่นอก Internet และ Click คือ การดำเนินธุรกิจส่วนที่อยู่ใน Internet มานานเกือบสิบปีแล้ว แต่บ้านเรายังมีมุมมองของ Click อย่างเดียว

ท่านผู้อ่านลองมองดู จะเห็นแม้แต่พวกที่เป็น Click เดิมและเป็นผู้ประสบความสำเร็จทั้งหลายก็ล้วนแล้วแต่พยายามจะพัฒนารูปแบบของธุรกิจของตนเองให้เป็น Brick & Click อาทิ

• Amazon.com มี Kindle เป็นเครื่องมือในการใช้บริการจากเว็บ Amazon.com
• Barns and Noble ก็มี Nook
• Google ก็มี Android ซึ่งจะถูกกระจายไปทั่ว ไม่ว่าจะเป็น Smart Phone, Netbook ฯลฯ
• Microsoft มี Zune, Windows Phone, Xbox และคอมพิวเตอร์อีกนับร้อยล้านเครื่อง
• Hi5, Facebook และ Twitter ก็สามารถใช้งานได้จากเครื่องโทรศัพท์มือถือ
• Apple ก็มี iPhone, iPAD, iTunes และ iPOD
• ฯลฯ

ดังนั้นหากอยู่ในกรอบนี้ของผู้เขียนบริการที่มี Call Center ร่วมด้วยอย่าง 7Catalog, ค่ายเพลงต่างๆ, การจอง/ซื้อตั่วเครื่องบิน รถทัวร์ ผ่าน Counter Service หรือเว็บ, TV Direct ที่มีการชำระเงินผ่านระบบ ก็ล้วนแล้วแต่เป็น E-Commerce

แต่ที่บ้านเรายังมีการซื้อขายผ่านระบบกันน้อย ก็ด้วยความที่ยังติดภาพของ E-Commerce ยุคล่มสลายอยู่นั่นเอง ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงของ E-Commerce นั้นไม่มีที่ใดเลย นอกจากประเทศไทย ที่จะมอง E-Commerce เป็น Internet และพยายามที่จะให้ผู้คนเข้าไปยังเว็บของตนเองเพื่อจับจ่ายซื้อของ

ดังนั้นหากท่านผู้อ่านสนใจที่จะพัฒนาธุรกิจของตนเองด้วยรูปแบบของ E-Commerce ท่านก็ต้องคิดหาทางสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับขั้นตอนหรือกระบวนการตั้งแต่ผลิตจนถึงมือของลูกค้า โดยมูลค่าเพิ่มที่เกิดกับขั้นตอนหรือกระบวนการดังกล่าวนั้น ต้องเป็นมูลค่าเพิ่มที่ท่านสามารถสร้างรายได้ให้กับท่านได้ อย่าพยายามจำกัดรูปแบบของธุรกิจของท่าน เช่น ต้องชำระด้วยบัตรเครดิต หรืออย่างใดอย่างหนึ่ง ขอให้คิดว่าโดยมีจุดมุ่งหมายคือ การที่ลูกค้ายินดีรับสินค้าและบริการของท่านแล้วจ่ายเงินที่สามารถทำให้ท่านมีกำไรโดยไม่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม คุณธรรม และถูกกฏหมาย

เบื้องหลังระบบเครือข่าย คือ Cloud Computing และ Ubiquitous Network

ซึ่งถือว่าโชคดีที่ประเทศไทยกำลังมีความพร้อมในทุกด้านกับรูปแบบของ E-Commerce ที่ผู้เขียนได้นำเสนอไว้ข้างต้น การเติบโตของ E-Commerce ในต่างประเทศนั้น ไปกับความเร็วของระบบเครือข่าย และศักยภาพในการประมวลผลข้อมูลของผู้ให้บริการ

ซึ่งเดิมนั้นบ้านเรายังติดปัญหาที่ไม่สามารถเปิดประมูลได้ แต่เราก็กำลังเดินหน้ามุ่งที่จะเปิดให้บริการ Ultra Hi-Speed Internet และ Broadband Network ให้ได้ ทำให้นอกจากจะมีการเปิดประมูลใบอนุญาตประกอบการให้บริการเครือข่าย 3G กันแล้ว ยังจะมีการเปิดใบอนุญาต Wi-Max อีกด้วย

ซึ่งพอเราเริ่มมีโครงข่าย 3G หรือ Wi-Max เข้ามาก็จะเริ่มสามารถทำให้เกิดรูปแบบของการใช้ชีวิตรูปแบบใหม่ระบบเครือข่ายความเร็วสูงเกิดขึ้น ซึ่งมีความเกี่ยวข้องกัน อาทิ

Ultra Realistic Communication

การสื่อสารแบบ VDO conference ทั้งใช้ในองค์กร ใช้กันในหมู่ครอบครัว ที่บ้านกับเพื่อนหรือญาติในที่ห่างไกลหรือต่างประเทศ หรือใช้กับการทำธุรกิจดังตัวอย่างที่กล่าวมาข้าต้น

Real World Web

ตำแหน่งที่อยู่ของเรา ที่พักอาศัยของเรา ที่ทำงาน สถานที่สำคัญต่างๆ สถานที่ท่องเที่ยว โรงพยาบาล โรงเรียน ฯลฯ รอบตัวเราทั้งหมดจะถูก plot บนแผนที่แบบเสมือนจริง คือ มีข้อมูลที่ถูกต้องจริงๆ ไม่ใช่ระบบแผนที่ซึ่งคลาดเคลื่อนที่ใช้กันเกลื่อนไปทั้งเมืองแบบปัจจุบัน นั่นหมายความว่า เราจะสามารถรู้ได้ว่า เรากำลังอยู่ที่ไหน เราจะไปตำแหน่งที่เราต้องการได้อย่างไร และตำแหน่งที่เราต้องการนั้นพร้อมให้บริการเราอยู่หรือไม่ ระหว่างทางจากตำแหน่งที่เราอยู่จนถึงตำแหน่งเป้าหมายเรามีอะไรอยู่บ้าง ฯลฯ เสมือนว่ามีตัวเรา และสิ่งที่อยู่รอบตัวเราอยู่ในระบบจริงๆ

Ubiquitous Sensor Device/Gadget

เขาบอกว่า บนโลกที่เราอยู่นี้ ในช่วงเวลาใดช่วงเวลาหนึ่ง เรามักจะมีคอมพิวเตอร์อยู่รอบตัวเราเพียง 1 เครื่องที่ทำงานแบบ Active อยู่ แม้ว่าเราจะมีคอมพิวเตอร์อยู่หลายเครื่องก็ตาม อย่างผู้เขียนมี คอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ 1 เครื่อง Notebook 1 เครื่อง และมี Smartphone 1 เครื่อง แต่ ณ เวลาใดเวลาหนึ่งก็ยังใช้มันได้เครื่องเดียวอยู่ดี หรือไม่ก็ต้องสั่งให้มันทำงานทิ้งไว้ เช่น อีกเครื่องหนึ่งอาจจะเปิดภายนต์ไปด้วย แต่นั่นก็คือ ผู้เขียนต้องไปดำเนินการบางอย่างทิ้งไว้

แต่ด้วยระบบเครือข่ายความเร็วสุง และอุปกรณ์รุ่นใหม่ที่มีความสามารถเรียกว่า Ubiquitous Sensor ซึ่งหมายถึง อาจจะเป็นอุปกรณ์เดิมๆ ที่เราคุ้นเคย แต่เพิ่ม sensor กับชิ้นส่วนของโทรศัพท์มือถือ เข้าไปทำให้อุปกรณ์ดังกล่าวสามารถเก็บข้อมูล หรือทำการตอบสนองกับเราได้

Ubiquitous Sensor Device/Gadget มีการใช้อย่างมากมายในประเทศที่เปิดให้บริการเครือข่ายระบบ 3G เรียกได้ว่า ติดกันทั้งประเทศ ใช้ตั้งแต่ในภาคอุตสาหกรรมเกษตร ใช้กับระบบขนส่งมวลชน ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนและภาคธุรกิจ ด้านสาธารณสุข ด้านสิ่งแวดล้อม ผังเมือง การบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสัตว์ป่า ฯลฯ ซึ่งเมื่อนำมาเสริมกับ Digital Map รุ่นใหม่ ก็จะทำให้เกิดข้อมูลเชิงพื้นที่ (Location Base) จำนวนมหาศาล แต่นั่นก็จะกลายเป็นปัญหาตามมาว่า เมื่อมีอยู่ทั่วไป และยังสามารถรับส่งข้อมูลจากระบบเครือข่ายได้ แล้วอะไรล่ะที่จะมาประมวลผลข้อมูลมหาศาลที่วิ่งไปวิ่งมาผ่านระบบเครือข่ายความเร็วสูง

Social Network ที่เติบโตมากกว่าเดิม

แน่นอนว่า ขนาดที่เรายังสื่อสารกันด้วยความเร็วบ้างไม่เร็วบ้างอย่างในปัจจุบัน แต่ความนิยมในบริการบน Internet ที่เรียกว่า Social Network ก็มีการใช้งานอย่างมากมาย ดังที่เราเห็น และหากว่าระบบเครือข่ายเร็วขึ้นแน่นอนว่า บริการแบบ Social Network สำหรับบ้านเราคงจะพัฒนาขึ้นไปอีกมาก และทำให้ชิวิตมีความน่าอยู่มากยิ่งขึ้นไปอีก

Cloud Computing

จากปัญหาข้างต้นที่ว่า หากมีการรับส่งข้อมูล หรือข้อมูลที่วิ่งไปวิ่งมาจากอุปกรณ์ต่างๆ ในพื้นที่ซึ่งน่าจะมีอย่างมากกมายน่าจะก่อให้เกิดข้อมูลอย่างมาก เมื่อมีข้อมูลมหาศาลย่อมจะต้องมีเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ใช้ประมวลผลที่มีศักยภาพรองรับได้อยู่ด้วย และด้วยความที่นอกจากมีข้อมูลมหาศาลแล้ว ยังต้องรองรับการเติบโตของข้อมูลที่มีปริมาณมหาศาลเหล่านั้นด้วย ซึ่งพอมีปริมาณมหาศาลแล้ว ก็ส่งผลต่อการวางแผนในการจัดการกับ Hardware และ Network ที่จะมารองรับ แต่การขยายหรือเพิ่มความเร็วในระบบเครือข่ายนั้นค่อนข้างจะเป็นไปได้อย่างรวดเร็ว แต่การเพิ่มศักยภาพในการประมวลผลให้มีความ Dynamic ด้วยนั้นค่อนข้างจะเป็นไปได้ยาก ซึ่งต้องถือว่า คำถามนี้ได้เกิดขึ้นในเวลาสั้นๆ ไล่ๆ กันทั่วโลก โดยเฉพาะกับผู้ให้บริการ Internet Service รายโหญ่ของโลก จึงเป็นที่มาของการเกิดเป็นระบบคอมพิวเตอร์เพื่อรองรับความต้องการในการประมวลผลแบบไม่จำกัด นั่นคือ Cloud Computing

ในส่วนของ Google นั้น เกิดปัญหาคล้ายกันเพียงแต่เกิดจากความนิยมในการใช้บริการของ Google ทั้ง Search Engine, Gmail, Google Doc, Google Map/ Google Earth ทำให้ระบบพื้นฐานของ Google ไม่สามารถรองรับกับปริมาณการใช้บริการอย่างมหาศาลได้

คุณลักษณะของความต้องการในการใช้บริการ Cloud Computing และเป็นคุณลักษณะของ Cloud Computing ด้วย นั่นคือ

• On-Demand Self-service บน Cloud Computing ระบบจะเป็นการให้บริการกับผู้ใช้ที่ไม่ต้องมีทักษะสูงนัก
• Ubiquitous Network Access เหมาะกับระบบที่ต้องการเข้าถึงได้จากทุกที่ ผ่านเครือข่าย Internet
• Location independent resource pooling ผู้ใช้บริการแทบจะรู้เลยว่า ระบบหรือเครื่องกลางอยู่ที่ใด
• Rapid Elastic มีความยืดหยุ่นสูง รองรับการขยายตัวได้อย่างรวดเร็ว
• Pay per use มีการค้ดค่าใช้จ่ายตามที่ใช้จริง บางทีเรียกว่า Utility Computing คือ เราจ่ายค่าบริการ Cloud Computing เหมือนกับการใช้บริการไฟฟ้า น้ำประปา โทรศัพท์ และทางด่วน ที่เราจะชำระตามที่เราใช้จริง เราจะไม่จ่ายเมื่อเราไม่ได้ใช้

นอกจากคุณลักษณะข้างต้นแล้ว Cloud computing ยังมีรูปแบบในการให้บริการที่หลากหลาย นั่นคือ

• Cloud Infra เป็นการให้บริการเฉพาะ CPU, Memory, Storage, Network เหมือนที่ Amazon มีให้บริการ
• Cloud Platform เป็นการให้บริการกับนักพัฒนา เหมือนที่ Google ให้บริการผ่าน Hi5 นักพัฒนาไม่ต้องลงทุนหรือพัฒนาระบบใหญ่โต แต่มาใช้บริการบน Google App Engine แล้วพัฒนาบริการอย่างที่ตนเองชอบแล้วขายให้ได้
• Cloud Software เป็นการให้บริการ Software ชุดแบบที่เราต้องการ เช่น ซอฟต์แวร์สำหรับการขายสินค้า, ซอฟต์แวร์สำหรับถ่ายทอดสัญญาณ VDO, ซอฟต์แวร์สำหรับทำบัญชี, ซอฟต์แวร์สำหรับงานบริหารงานบุคคล, ซอฟต์แวร์สำหรับการตลาด หรือการบริหารลูกค้าสัมพันธ์ ฯลฯ เรียกได้ว่า ท่านสามารถเปิดสำนักงานอยู่บน Internet ได้เลยทีเดียว

และบริการทั้งหมดสามารถนำมาประกอบกันเป็นระบบต่างๆ ข้างต้น ตามที่ท่านต้องการได้อีกด้วยไม่ว่าจะพ่วงเข้าไปกับระบบ Call Center, ระบบ Ware House Logistic ฯลฯ

Cloud Computing กับ E-Commerce

ประเด็นสำคัญที่สุดที่ทำให้ Cloud Computing เข้ามาสนับสนุน E-Commerce นั้นอาจจะไม่ใช่ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีว่า สามารถทำให้เกิดพลังในการประมวลผลข้อมูลปริมาณมหาศาลได้ เพราะนั่นน่าจะเกิดหลังจากที่ธุรกิจได้พัฒนาเติบโตไปแล้ว หรือการมี Hi-Speed Network ที่ทำให้เกิดรูปแบบของUbiquitous Network ส่งผลให้เกิดการสื่อสารรูปแบบใหม่

แต่เป็นรูปแบบของระบบที่สามารถคิดค่าบริการแบบจ่ายจริง จ่ายเท่าที่ใช้บริการ (Pay Per Use) ซึ่งจากเดิมหากท่านต้องการเปิดบริการ E-commerce แบบที่ผู้เขียนนำเสนอ นั่นคือ ให้ผู้ซื้อเข้ามามีประสพการณ์กับการผลิตสินค้าและกระบวนการ หรือบริการเสริมต่างๆ ที่สร้างประสพการณ์ใหม่ให้กับผู้ใช้ รวมทั้งมีระบบสมัครสมาชิกเก็บเงินผ่านระบบเครือข่าย ทั้งหมดนี้ท่านคงจะต้องลงทุนเป็นล้าน หรือหลายล้าน โดยที่ยังไม่รู้เลยว่าลูกค้าจะชอบหรือไม่ หรือทำแล้วจะขายได้จริงไหม ที่สำคัญอะไรก็ตามที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีก็มักจะเปลี่ยนแปลงเร็ว

แต่ด้วยรูปแบบของ Cloud computing จะทำให้ท่านสามารถทดลองให้บริการใดๆ ก็ตามที่นอกกรอบเดิมๆ สร้างความแตกต่างที่ลูกค้าคาดไม่ถึงมาก่อนได้โดยง่ายดาย โดยการจ่ายค่าบริการเป็นครั้งๆ ไป ก่อนจะเป็นการดำเนินการอย่างต่อเนื่องเป็นระบบ อีกทั้งในกรณีที่ท่านต้องการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงท่านก็เพียงแจ้งต่อผู้ให้บริการ แต่หากเป็นแบบเดิมท่านต้องการคาดการณ์และวางแผนการลงทุนและเมื่อต้องการขยายก็ต้องลงทุนก้อนใหม่ไปเรื่อยๆ แล้วต้องมานั่งคำนวนผลตอบแทนที่คืนกลับมาอีก

แต่ด้วยรูปแบบของ Cloud Computing ท่านได้โอกาสคิดและลองทำจริงเลย ทั้งหมดจ่ายเป็นค่าบริการ

ที่สำคัญท่านไม่ต้องรู้เรื่องทางด้านเทคนิคอะไรมากมายเลย เพียงด้วยสอบถามบริการจากผู้ให้บริการเท่านั้น

วันนี้ประเทศไทยก็มีการให้บริการ Cloud Computing อย่างสมบูรณ์แล้วโดย True Internet Data Center (True IDC) ซึ่งเป็นบริษัทในกลุ่มของ True Corporation PLC. รวมทั้งเรายังมี Thailand Cloud Community โดย SIPA, Software Park, NECTEC, CP, True IDC, คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, โครงการ Thai Grid และองค์กรรวมไปถึงผู้ที่สนใจอีกมากมาย มารวมตัวกันเพื่อศึกษาค้นคว้าและพัฒนาเทคโนโลยีของ Cloud computing และยังมีการตั้ง Cloud Computing ทั้งที่เป็น Open Source (โดยการสนับสนุนของ True IDC และ Microsoft (โดยการสนับสนุนของ Microsoft ประเทศไทย) ติดตั้งไว้ที่โครงการ Thai Grid และคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ซึ่งไว้สำหรับให้องค์กรใดๆ ที่สนใจพัฒนาหรือปรับเปลี่ยนบริการเดิมมาให้บริการบน Cloud Computing ได้ หรือจะมาทดสอบการทำงานของบริการของท่านบน Cloud Computing ก็ได้ สามารถติดต่อได้ที่ www.thaigrid.or.th

สรุป

ด้วยความบังเอิญหรือไม่ก็ไม่ทราบได้ แต่ประเทศไทยกำลังจะมีความพร้อมในการรองรับสนับสนุน E-Commerce รูปแบบใหม่ๆ เช่นเดียวกับในต่างประเทศ ซึ่งที่ดีกว่านั้นคือ ท่านสามารถทดลองแนวคิดหรือรูปแบบธุรกิจของท่านได้โดยง่าย

คำถามที่จะฝากกันไว้ก็คือ เมื่อมี Cloud Computing และ Ubiquitous Network เกิดขึ้นแล้ว รูปแบบของ E-Commerce ของท่านผู้อ่านในวันนี้จะเป็นอย่างไร.


ที่มา
http://www.manager.co.th/CyberBiz/ViewNews.aspx?NewsID=9530000109578

ปลูกผักให้งอกเงิน


ปลูกผักให้งอกเงิน

ในวิกฤติยังมีโอกาส สงครามยังสร้างวีรบุรุษ ฉะนั้นในยุคที่เกมปลูกผัก ทำฟาร์ม และเกมหรรษาอื่นๆบนเว็บเครือข่ายสังคมได้รับความนิยมถ้วนหน้า ก็ย่อมมีโอกาสงามสำหรับธุรกิจแฝงอยู่

สร้างรายได้ให้ธุรกิจคุณด้วย Social Games

ในตอนนี้คงไม่มีใครไม่รู้จัก เกม ปลูกผัก, มาเฟีย วอร์, เรสเตอรอง ซิตี้ หรือเพ็ด โซไซตี้แล้ว เกมทั้งหลายเหล่านี้ เรียกในอีกชื่อหนึ่งว่า เกมเครือข่ายสังคม หรือ Social Games (แต่หลาย ๆ คนคงเรียกเกมเหล่านี้ว่าเกมเฟสบุ๊กไปแล้ว) เกมเหล่านี้ได้รับความนิยมและสามารถสร้างรายได้ให้เป็นกอบเป็นกำ จนกระทั่งอุปกรณ์พกพาหลากชนิดต่างต้องการเกมเหล่านี้ให้สามารถมาเล่นบนเครื่องตัวเองได้ทั้งสิ้น ไม่เว้นแม้แต่เจ้าดังค่ายผลไม้อย่างแอปเปิล

อะไรคือ Social Games

Social Games นั้นเป็นเกมที่พัฒนาจากการเกมออนไลน์หลายรูปแบบบนการมาหรือแจ้งเกิดของเว็บเครือข่ายสังคม เกมเหล่านี้จึงเกิดการเปลี่ยนแปลงย้ายจากการอยู่บนอินเทอร์เน็ต เข้าไปอยู่บนแพลตฟอร์มเว็บไซต์เครือข่ายสังคมเช่น Facebook ซึ่งมีผู้ใช้ในปัจจุบันมากกว่า 500 ล้านคนแล้ว

Social Games จึงกลายเป็นของเล่นเครือข่ายสังคม ที่หลายคนเข้ามาร่วมเล่น ร่วมแบ่งปันทรัพยากรที่ตัวเอง ร่วมถึงร่วมมือกันเพื่อให้อุปสรรคของแต่ละคนในเกมนั้นผ่านพ้นไปได้

ทำไม Social Games ถึงได้รับความนิยม

Social Games นั้นได้รับความนิยมเพราะสามารถร่วมเล่นกับเพื่อนก็ได้ (แม้ว่าเพื่อนจะไม่ได้เล่นอยู่ก็ตาม แต่อวตาร์เพื่อนก็ยังคงมีอยู่ในโลกของเกม) โดยเพื่อนเหล่านี้ก็คือเพื่อนในเครือข่ายของตนเองที่มีอยู่ ทำให้ความสนิทสนมนั้นเกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็ว เมื่อเล่นไปแล้วเกมจะสร้างอุปสรรคให้เกิดขึ้น ซึ่งอุปสรรคนี้สามารถแก้ได้อย่างง่ายได้ โดยการหาของจากการแลกกับเพื่อนหรือชวนเพื่อให้ได้ของนั้นมา นอกจากนี้การเล่นนี้ทำให้เกิดการแข่งขันไปโดยปริยายว่าใครจะขึ้นไปอยู่ระดับไหนของเกม ซึ่งจะตัวเกมนั้นจะมีอันดับของผู้ที่ทำคะแนนอยู่ว่าเป็นอย่างไร ทำให้เพื่อน ๆ หลายคนนั้นทุ่มเวลาเล่นจนไม่ได้พักผ่อนกันเลยทีเดียว

ที่สำคัญอีก 2 อย่างคือ Social Games นั้นใครไม่เล่นหรือไม่รู้จักก็อาจจะตกกระแสไม่อินเทรนด์ กันไป ทำให้เวลาเพื่อน ๆ พูดก็อาจไม่เข้าใจไปกันบ้าง ซึ่งสุดท้ายนั้นคือการลองเล่นได้เลย เพราะเกมเหล่านี้ไม่ต้องดาว์นโหลด หาซื้อแผ่นมาติดตั้ง เพราะเกมเหล่านี้เปิดให้ผู้เล่นได้เข้าไปเล่นฟรี

ทำอย่างไรถึงจะเอา Social Games มาใช้กับธุรกิจคุณ

จากรายงานปี 2009 ล่าสุดนั้นพบว่าตลาด Social Games นั้นมีมูลค่าประมาณ 639 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และคาดว่าในปี 2014 นั้นตลาด Social Games น่าจะมีมูลค่าประมาณ 1.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐอเมริกาแน่นอน ทำให้ตลาดนี้เป็นตลาดที่สดใสที่หลายธุรกิจเข้าไปจับจ้องว่าจะเข้าไปแสวงหาแหล่งขุมทองใหม่ได้อย่างไร

ในธุรกิจของสินค้านั้นการประชาสัมพันธ์หรือทำการตลาดผ่านโลกของ Social Media นั้นสำคัญตรงจุดประสงค์ว่าจะทำอะไรกับ Social Media นั้น ๆ การมี Social Games ก็เช่นกัน ต้องคำนึงถึงว่าเม็ดเงินที่จะลงทุนไปกับการสร้าง Social Games นั้น มีความเหมาะสมกับธุรกิจคุณหรือส่งเสริมธุรกิจคุณได้หรือไม่ ซึ่งจริง ๆ แล้วบางทีธุรกิจนั้นอาจจะไม่ได้ต้องการเกมที่มีความอลังการและซับซ้อนเหมือนอย่าง Social Games ก็ได้ ซึ่งสามารถแบ่งได้ง่าย ๆ จากวัตถุประสงค์ของเกมว่าต้องการอะไร เช่น

1.หากคิดว่าจะเป็นกิจกรรมสั้น ๆ สร้างขึ้นโปรโมทสินค้าหรือผลิตภัณฑ์แล้วละก็ สามารถใช้เกมธรรมดา ที่ไม่ใช้ Social Games มาทำก็ได้ เพราะกิจกรรมสั้น ๆ นั้นเล่นแล้วจบเลย ผู้เล่นได้ของรางวัลหรือได้รับรู้ข่าวสารตามที่ต้องการ ซึ่งเกมประเภทนี้จะมีผู้เล่น เล่นเพียงๆ แค่เพื่อให้จบภารกิจตามที่ต้องการไป เมื่อได้แล้วก็จะหยุดเล่น

2.หากคิดว่าต้องการทำรายได้อย่างจริงจัง หรือเป็นกิจกรรมที่มีช่วงระยะเวลายาว ๆ แล้วละก็ Social Games นั้นจะเริ่มเป็นคำตอบที่เหมาะสมมากขึ้น เพราะสามารถดึงคนให้อยู่เล่นได้ตลอดเวลา จนกว่าช่วงกิจกรรมจะหมดลงหรือสามารถ นำมาใช้ใหม่มื่อมีกิจกรรมอะไรในกลุ่มเดียวกันเกิดขึ้น หรือแม้แต่ใช้เกมนี้มาสร้างรายได้เสริมของผลิตภัณฑ์ตัวเอง ซึ่งเหมือนสมัยก่อนที่หลาย ๆ แบรนด์ดังนั้นเข้าไปทำร้านค้าในในโลกเสมือนอย่าง Second Life เพียงเพื่อเข้ามาขายสินค้าเสมือนในโลกของเกมนั้น ซึ่งสร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำไปในอีกทางหนึ่งแก่บริษัท อีกทั้งยังสามารถทำโฆษณาไปด้วยได้ในตัว

เมื่อรู้จุดประสงค์ที่แน่ชัดแล้ว ก็ต้องมาคิดถึงว่าเกมแบบ Social Games นั้น จะประสบความสำเร็จได้อยู่ที่อะไร ซึ่งบริษัท Social Games ยักษ์ใหญ่อย่าง Zynga ผู้ทำเกม Farmville นั้นระบุว่าเกมที่จะประสบความสำเร็จนั้นอยู่ที่ปัจจัยไม่กี่ประการซึ่งมีดังนี้

•การใช้ชีวิตหรือประสบการณ์ที่คนรู้อยู่แล้วมาทำเกม เพราะทำให้คนนั้นเรียนรู้น้อยว่าเกมจะดำเนินอย่างไร ไม่ต้องมาเสียเวลามานั่งเรียนรู้ และเริ่มเล่นเกมได้ทันทีหรือมองแล้วดูออกว่าสิ่งที่ตัวเองทำจะดำเนินไปทางไหนได้
•สร้าง Social Value ขึ้นเพื่อให้เกิดปฏิสัมพันธ์ของมนุษย์ด้วยกันมากขึ้น ซึ่งการทำเช่นนี้จะทำให้สารเคมีในสมองที่เรียกว่า Oxytocin ซึ่งเป็นสารเคมีแห่งความพึงพอใจเมื่อเรามีปฏิสัมพันธ์ที่ดีทางสังคมหลั่งออกมาจากสมองเช่นกัน ทำให้ผู้คนที่เล่นเกมนั้นจะรู้สึกดีและมีโอกาสสูงที่จะกลับเข้ามาเล่น
•หากมีกิจกรรมวันพิเศษในโลกจริง ก็อย่าได้พลาดที่จะเอา Social Games นั้นมีกิจกรรมดังโลกนั้นตาม เพราะจะทำให้ผู้คนรู้สึกว่าตัวเองไม่ขาดกิจกรรมใด กิจกรรมหนึ่งในโลกจริงไป และมีส่วนร่วมกับกิจกรรมวันพิเศษต่าง ๆ ได้ตลอด
•สร้างการอัพเดทตลอดเวลา อย่าทำให้เกมนั้นน่าเบื่อทำให้ผู้เล่นรู้สึกว่าเล่นอะไรเหมือน ๆ เดิมทุกวัน ซึ่งการอัพเดทนั้นไม่จำเป็นต้องเป็นอะไรที่ซับซ้อน เพียงแค่เป็นการมีของใหม่ในเกมก็เพียงพอแล้วในหลายครั้ง
•สร้างการคลิกหรือใช้เวลาอยู่หน้าจอในการเล่นให้น้อยที่สุด เพราะในช่วงเวลาแห่งข่าวสารที่วิ่งมาหาเราอย่างรวดเร็ว การนั่งอยู่หน้าจอเพื่อเล่นเกมทั้งวันนั้น จะทำให้เสียเวลาในการทำอย่างอื่นไปหมด ยิ่งต้องมีการกดเมาส์หลาย ๆ ครั้งแล้วจะทำให้คนเล่นรู้สึกว่าเกมนั้นยากมาก แต่หากเกมนั้นคลิกไม่กี่คลิกในการออกคำสั่งและสามารถกลับมาดูได้ในภายหลังว่าเป็นอย่างไร ก็จะทำให้ผู้เล่นสามารถไปใช้ช่วงเวลาระหว่างรอทำงานอื่นได้ด้วย ยิ่งทำให้เกมนั้นน่าเล่นขึ้นไปอีก

เมื่อรู้เทคนิคว่าเกมนั้นจะประสบความสำเร็จได้อย่างไรแล้ว ก็ต้องรู้ว่าเกมนั้นจะหารายได้เข้ามาอย่างไร เพราะถ้าทำ Social Games เพื่อสร้างรายได้แล้วก็ต้องคิดว่าจะหารายได้ทางไหน (แต่บางเกมก็ไม่มีการหารายได้ เพราะต้องการใช้เกมเป็นเครื่องมือโปรโมทสินค้าหรือบริการของแบรนด์เอง) ซึ่งการหารายได้นั้นจะมีอยู่หลัก อยู่ 2 ทางคือ

•การขายสินค้าเสมือนในเกม
• การขายสินค้าจริงเพื่อรับไอเท็ม


ทั้ง 2 แบบนั้น มีจุดประสงค์ที่คล้ายกัน ต่างกันแค่วิธีการว่าจะทำให้ผู้เล่นจ่ายเงินอย่างไร ในแบบแรกนั้นผู้เล่นต้องจ่ายเงินผ่านระบบออนไลน์เพื่อทำการซื้อสินค้าที่ต้องการ ซึ่งจะทำให้ธุรกิจนั้นได้รับเงินโดยตรง แต่อีกแบบนั้น สินค้าเสมือนจะอยู่ในรูปแบบรหัสที่ซ่อนไว้ในสินค้าที่ขายตามท้องตลาดของธุรกิจที่ทำเกม เช่น รหัสโค้ดอยู่ในซองขนม เอาโค้ดดังกล่าวไปใส่ในเกมก็จะได้ไอเท็มนั้นมา ซึ่งทำให้ผู้เล่นนั้นต้องไปหาซื้อสินค้าของธุรกิจเพื่อให้ได้ไอเท็มหรือสินค้าที่ต้องการมาไว้ในครอบครอง ซึ่งกิจกรรมที่คนจะซื้อของนั้นมีดังนี้

1.ซื้อไอเท็มหรือสินค้าเพื่อตกแต่งตัวละครตัวเอง เพื่อให้มีเอกลักษณ์และสร้างความแตกต่างจากคนอื่น
2.ซื้อมาเพื่อตกแต่งสถานที่ที่ตัวเองครอบครองในเกม เช่นฟาร์ม บ้าน สวย ร้านอาหารหรือแม้กระทั่งตู้ปลา
3.ซื้อไอเท็มหรือสินเค้า เพียงเพื่อ Shopping เพราะหลายๆ คนนั้นไม่ชอบที่จะใช้ของซ้ำและอยากลองสินค้าหรือไอเท็มใหม่ ๆ เสมอ
4.ซื้อสินค้าหรือไอเท็มนั้นเพื่อให้ของขวัญ ซึ่งการให้ของขวัญนี้เป้นการเพื่อแสดงความรู้สึกที่ตัวเองมีมากไปกว่าข้อความที่จะพิมพ์ส่งฝากไว้
5.ซื้อเพื่อความสะดวกสะบายในการเล่นเกมที่มากขึ้น เพราะยิ่งจ่ายมาก ก็สามารถเล่นเกมเพื่อไต่อันดับหรือมีระดับที่สูงขึ้นได้ไว ๆ

เห็นข้อมูลดังนี้แล้ว อาจจะยังสงสัยแล้ว สร้าง Social Games แล้วรู้ได้อย่างไรว่าคนจะมาซื้อของในเกม อย่างแน่นอน ซึ่งคำตอบนี้บริษัทผู้ผลิต Social Games อย่าง Shufflebrain นั้นได้ให้คำอธิบายตามนี้คือ

•คนที่เล่นเกมนั้นส่วนใหญ่ใจร้อน เพราะเวลานั้นเท่ากับเงิน การรอนาน ๆ เพื่อให้ผ่านอุปสรรคนั้นเป็นเรื่องน่าเบื่อ ซึ่งถ้ายอมจ่ายและมีเวลาไปทำอย่างอื่นโดยผ่านอุปสรรคของเกมไปก็สามารถยอมจ่ายได้
•คนเรานั้นต้องการเครื่องมือที่ดีกว่าเสมอ เหมือนดังเช่นการมีมือถือ เมื่อมีรุ่นใหม่กว่าก็ย่อมอยากได้เช่นกัน ซึ่งไม่ต่างอะไรกับโลกของ Social Games ที่คนจะสามารถจ่ายเงินเพื่อให้ได้ของที่ดีขึ้น
•การจ่ายและมีความแตกต่างจากคนอื่นในโลกของ Social Games นั้นมีความสำคัญ เพราะจะทำให้ผู้เล่นนั้นมีความสำคัญขึ้นมา และดึงคนให้เล่นและจ่ายเงินเพื่อซื้อของที่ทำให้ตัวเองมีความรู้สึกสำคัญเรื่อย ๆ
•คนเรานั้นมักแสดงออกโดยการแต่งตัวว่ามีสไตล์แบบไหน คงไม่มีใครปล่อยตัวละครตัวเองให้เดินเฉย ๆ ไร้สไตล์หรือการแต่งตัวตามที่เราชอบแน่นอน ซึ่งเห็นดังนนี้หลายคนจึงยอมจ่ายเงินเพื่อซื้อเสื้อผ้า สีผม ในเกม
•ผู้คนต้องการสร้างความสัมพันธ์ การจ่ายเงินเพื่อซื้อสินค้า ในเกมเพื่อมีความสัมพันธ์กับเพื่อน หรือคนรักนั้น ย่อมเป็นเรื่องเล็กน้อยมากที่จะจ่ายเงินเพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการมา ซี่งการจ่ายเงินแบบนี้จะทำให้คนรับรู้สึกว่ามีคนห่วงใย และคนที่จ่ายเพื่อซื้อของให้ย่อมต้องการให้คนได้รับรู้สึกดี

ตอนนี้คงได้เทคนิคที่สำคัญทั้งแนวคิดในการสร้างเกม วิธีการหารายได้ และทำไมคนถึงต้องจ่ายเงิน แต่แล้ว ถ้าธุรกิจคุณเข้าไปทำตลาดตรงนี้แล้วจะได้อะไร ซึ่งคำตอบนนี้มีอยู่ในตัวอยู่แล้วคือ

1.การมีช่องทางใหม่เพื่อสร้างสารกับคนที่มาสนใจธุรกิจของเรา และสามารถกระจายข่าวสารให้สมาชิกของคุณได้รับรู้อย่างรวดเร็วได้ผ่านเกมพร้อมกัน
2.ทำให้คนรับรู้และรู้จักแบรนด์ได้เป็นอย่างดี เพราะทุก ๆ เกมที่ทำนั้นย่อมมีนวัตกรรมเป็นของตัวเอง ทำให้ธุรกิจเหล่านี้จะถูกจดจำจากรูปแบบที่เกมใช้
3.การเล่นเกมที่แบบนี้ สามารถสร้างความจงรักภักดีต่อธุรกิจได้เพราะสามารถให้คนร่วมเล่น ร่วมสนุกเพื่อเรียนรู้ธุรกิจเรา และเข้าใจในธุรกิจเรามากขึ้นเพื่อแลกกับของรางวัลหรือแต้มที่จะได้จากเกมไป
4.สร้างการตลาดต่อสินค้า หรือโฆษณาต่าง ๆ ผ่าน Social Games ได้ เพราะสามารถเปลี่ยนสินค้าต่าง ๆเป้นไอเท็ม และถ้าผู้เล่นสนใจก็สามารถกดจากเกมมาที่เว็บไซต์สินค้าได้ทันที หรือค้นหาจากระบบค้นหาต่าง ๆ ก็ได้
5.มีฐานข้อมูลคนที่เข้ามาเล่นไว้ในมือเพื่อสามารถใช้ส่งข้อความ ในการทำกิจกรรมต่าง ๆ ได้ต่อไป ได้อย่างง่ายได้
6.สามารถใช้ Social Games เป็นแหล่งทำกิจกรรม รวมกลุ่มแสดงพลังเพื่อสังคมได้ เป็นการทำ CSR ไปในอีกทางหนึ่ง เช่น Bing ระบบ Search engine ของ Microsoft ก็เคยทำกิจกรรมผ่าน Farmville มาแล้ว โดยจะทำการบริจาคเงินเมื่อคนใช้ Bing ในการค้นหา ไปสร้างโรงเรียนในแอฟริกา

จะเห็นได้ว่าการทำ Social Games นั้นได้ประโยชน์อย่างมากมายมหาศาล เพียงแต่การที่จะสร้างเกม ๆ หนึ่งนั้นต้องมาดูความสำคัญที่สุดอันดับหนึ่งนั้นคือ จุดประสงค์หรือวัตถุประสงค์ ที่จะต้องมี Social Games เพื่อธุรกิจ เพราะหากจุดประสงค์นั้นไม่จำเป็นต้องมี เกมขนาด Social Games แล้วทำต่อไปนั้น เกมอาจจะไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควรและเป็นการละลายเงินลงแม่น้ำไปโดยใช่เหตุ แต่หากคิดว่าคุ้มทุนและสามารถหารายได้จาก Social Games ได้ มันก็น่าสนใจไม่น้อยที่จะลงทุนสร้างเกมนึงขึ้นมา



ที่มา
http://www.manager.co.th/CyberBiz/ViewNews.aspx?NewsID=9530000113070

วันพุธที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2553

11 ไอเดียบ้าหาเงินได้เป็นล้านเหรียญ

11 ไอเดียบ้าหาเงินได้เป็นล้านเหรียญ

1. แว่นตาสุนัขยี่ห้อ Doggles

มองไปที่นักว่ายน้ำใส่แว่นกันน้ำ ก็คิดถึงแว่นกันลมกันแดดสำหรับสุนัขขึ้นมาได้ นำไปขายออนไลน์ ไอเดียนี้ทำให้ผู้คิดค้นสิ่งนี้ขึ้นมาตอนนี้นอกจากจะเป็นมหาเศรษฐีเงินล้านแล้ว ยังทำให้มีสาขาร้านที่ชื่อ Doggles (แว่นประเภทนี้จริงๆเรียกว่า goggles) ของเขาเองอยู่ทั่วโลกในขณะนี้ เชิญชมได้ที่ www.doggles.com แถมเดี๋ยวนี้ธุรกิจรุ่งเรืองจนมีสินค้าหลากหลายมากขึ้น แต่ส่วนใหญ่จะเป็นสำหรับ outdoor อ้อ แล้วก็เครื่องประดับอีกด้วยครับ

2. Million Pixel Homepage ขายจุดเล็กๆ

นี่เป็นไอเดียที่ผมก็ต้องบอกว่า “ทำไมถึงไม่เป็นเราที่คิดออกนะเนี่ย” เพราะมันคือไอเดียที่แปลกประหลาดแต่ช่างเป็นเรื่องใกล้ตัวคนใช้คอมพิวเตอร์ แต่ยากที่ใครจะนึกออกว่ามันจะขายได้ มันคือเว็บไซต์ขาย Pixel (Pixel ที่เป็นจุดเล็กจุดเดียวที่ประกอบกันหลายๆจุดจนสามารถสร้างภาพต่างๆให้คุณเห็นบนจอคอมพิวเตอร์นั่นเอง) เว็บไซต์​นี้ www.milliondollarhomepage.com มีหน้าเดียวที่เอาไว้ขายสินค้านี้ หน้า home page นี้ มีจุด Pixel อยู่ทั้งหมดที่เป็นลิงก์โฆษณาไปในตัวทั้งหมดหนึ่งล้านจุดพอดิบพอดี ขายในราคาจุดละ 1 เหรียญ เหมือนกับซื้อเนื้อที่โฆษณาที่เป็นลิงก์โยงไปยังเว็บของผู้ลงโฆษณา ที่อยู่บนป้ายๆโฆษณาใหญ่ๆป้ายเดียวนั่นเอง ซึ่งตอนนี้ขายหมดไปเรียบร้อยแล้วครับ เหตุผลของผู้ขายก็คือ จะเอาเงินไปเรียนหนังสือ และให้เหตุผลที่ดีกับผู้ซื้อว่า ถ้าซื้อไปเว็บคุณก็จะโด่งดังตามเว็บ milliondollarhomepage ไปด้วย เพราะเว็บนี้จะอยู่เป็นอนุสรอีกยาวนาน ซึ่งตอนนี้ก็ดังจริงๆครับ ใครๆก็อยากมีเว็บแบบนี้กันมากมาย แต่ก็ไม่มีใครสามารถทำสำเร็จแบบนี้ได้อีกเลย

3. FitDeck ไพ่ออกกำลังกาย

ไม่ใช่ไพ่หรอกนะครับที่ออกกำลังกายได้ แต่เป็นคนต่างหาก ไอเดียนี้น่าจะใช้เป็นตัวอย่างได้ดีจากตอนที่ 2 ที่ผมได้แสดงให้ดูถึงการประยุกต์สินค้าที่มีอยู่แล้วแบบง่ายๆ แต่ผมก็ไม่นึกว่ามันจะง่ายขนาดนี้เลย

นายทหารคนหนึ่งซึ่งเป็นทั้งทหาร (แน่นอน เพิ่งบอกไป) และครูสอนออกกำลังกาย ได้นำเอาไพ่ธรรมดานี่แหละมาทำให้ด้านหลังของมัน เป็นภาพคนออกกำลังกายในท่าต่างๆ และขายออนไลน์สำรับละ 18 เหรียญ ซึ่งภายในไม่กี่ปี ทำเงินให้เขาได้ไม่มากไม่มายแค่เกือบ 5 ล้านเหรียญเท่านั้นเอง ไม่มากเลย (ไหมเนี่ย) ถ้าอยากรู้ว่าหน้าตาไพ่เป็นยังไง ผมว่าน่าจะเอามาประยุกต์ทำเป็น Yoka, Judo, คนเล่นอย่างอื่นๆได้อีกมากมาย แล้วทำแพคเกจใหม่ก็น่าจะเวิร์คในยุคที่คนไทยกำลังชอบออกกำลังกายแบบนี้ ไปที่เว็บนี้ www.fitdeck.com

4. Antennaballs ขายลูกบอลบนเสาอากาศ

อันนี้สิที่เรียกว่า ไอเดียที่เป็นไปไม่ได้ของจริง คิดไปได้นะคนเรา เอาลูกบอลเล็กๆมาออกแบบให้เป็นหน้ายิ้ม (smiley) เพื่อให้คนเอาไปใส่บนเสาอากาศรถยนต์ ใครจะคิดว่าจะขายได้ ผมว่าไอเดียนี้ฟรุ้คมากๆ ตอนนี้เจ้าของไอเดียเป็นมหาเศรษฐีไปเรียบร้อยแล้ว อยากเห็นหน้าตาว่าไอเดียนี้งี่เง่าแค่ไหนไปที่ www.antennaballs.com

5. SantaMail ขายจินตนาการ

อันนี้ก็แปลก แต่ไม่ได้แปลกที่ไอเดียหรอกนะครับ ไอเดียนั้นดีทีเดียว แต่แปลกที่มีคนมากมายอุดหนุน นั่นคือการอาสาเป็นซานตาคลอสทางไปรษณีย์นั่นเอง พ่อแม่ติดต่อมาที่บริษัทนี้เพื่อให้ส่งจดหมายปลอมว่าเป็นซานตาไปให้ลูกค้าตนเองในราคาจดหมายละ 10 เหรียญ ในเวลาเพียง 4-5 ปี ตั้งแต่เริ่มจากปี 2001 เขาได้ส่งจดหมายไปประมาณ 3-4 แสนฉบับให้เด็กมากมายในอเมริกา คิดดูสิครับว่าเป็นเงินเท่าไหร่…

6. Diapeesandwipees ถุงผ้าอ้อมแสนสวย

อันนี้ไม่มีอะไรมากเลยครับ แต่แค่ไม่มีใครที่คิดมาก่อน สิ่งที่ผู้

คิดค้นสองภรรยาสามีออกแบบ ก็แค่ถุงกระดาษที่มีการออกแบบให้น่าดู เพื่อเอาไว้ใส่ผ้าอ้อม (pampers) ใช้แล้ว ถ้าอยากเห็นว่ามันหน้าตาอย่างไรไปที่ www.diapeesandwipees.com ฮืม..บางครั้งพ่อแม่เท่านั้นที่รู้ว่าจะขายอะไรให้เด็กถึงจะขายได้

7. Luckybreakwishbone ขายกระดูกโชคดี

สำหรับคนไทยอย่างเราๆแล้ว อืมเห็นครั้งแรกผมก็ต้อง งง ว่า..มันเอาไว้ทำอะไรกันแน่ไอ้ “Wish Bone” เนี่ย แต่สำหรับเด็กฝรั่งแล้ว มันคือกระดูกจากสัตว์ปีกอาหารค่ำของวันอาทิตย์ ที่หักแล้วจะถือว่าโชคดี แต่ดันมีคนอุตริ คิดกระดูกโชคดีปลอมๆนี้ขึ้นมา ขายดิบขายดีทำเงินได้เป็นล้านเหรียญไปเป็นที่เรียบร้อย เป็นไปได้นะคนเรา คิดได้แล้วกล้าทำอย่างมาก www.luckybreakwishbone.com

8. Leafcutterdesigns จดหมายจิ๋ว

สิ่งนี้เป็นไอเดียตัวอย่างที่ดีที่จะอธิบายการประยุกต์ไอเดียง่ายมาทำใหม่ และทำเงินได้เป็นอย่างดี แค่เอาสิ่งที่ไปรษณย์ทำอยู่แล้ว มาทำให้น่าสนใจขึ้น สำหรับคนที่ชอบส่งของขวัญแปลกไม่ซ้ำซากจำเจให้เพื่อนญาติพี่น้อง (ทำเงินกับความสุขของคนยังไงก็เวิร์ควันยังค่ำ) และที่สิ่งที่เจ้าของ (ลีอา) ทำก็คือ ย่อจดหมายลงให้เล็กๆที่สุด จนต้องส่องมองด้วยแว่นขยาย เพื่อส่งเป็นของที่ระลึกต่างๆตามที่คนสั่งให้ทำ ที่น่าเหลือเชื่อก็คือ มีคนสั่งทำกันมากมายจนทำไม่ทัน โดยเฉพาะในวันเทศกาลต่างๆ ถ้าคุณอยากให้แฟนสาวได้อะไรแปลกๆใหม่ๆในวันเกิดหรือปีใหม่ ก็ลองไปที่ www.leafcutterdesigns.com

9. เว็บไซต์หาคู่สำหรับคนมีเชื้อ HIV

ไอเดียนี้อาจจฟังดูไม่รื่นหูซักเท่าไหร่ แต่คนที่คิดไอเดียนี้ขึ้นมามีความคิดที่ว่า ยังมีคนที่มีเชื้อ HIV อีกมากมายที่ยังต้องพยายามมีชีวิตต่อไป และยังอาศัยรวมอยู่กับเราอยู่ทุกที่ ทำไมไม่สร้างศูนย์รวมที่ให้พวกเขาสามารถเข้ามาหาคู่กันได้ล่ะ อืม..อันนี้ไม่มีแน่ๆในประเทศเรา เว็บไซต์ www.positivesdating.com นี้น่าจะเริ่มก่อตั้งเมื่อปี 2005 ในปีี 2006 สามารถทำเงินได้ $110,000 เหรียญ เลยทีเดียว เดี๋ยวนี้่น่าจะมีสมาชิกอยู่ราวๆหลายแสนคนเห็นจะได้

10. PickDomains ตั้งชื่อให้หน่อย

“ผมจะจ่ายคุณ 25 เหรียญ ถ้าคุณคิดชื่อโดเมนเนมเท่ๆให้ผมได้” คิดไปได้ว่าจะมีคนพูดและทำแบบนี้ก่อนก่อตั้งบริการตั้งชื่อโดเมนเนม www.pickdomains.com ที่เป็นบริการรับตั้งชื่อโดเมนเนมให้เว็บไซต์ต่างๆที่ตอนนี้สามารถทำเงินได้มหาศาล เพราะไม่มีคู่แข่งเลยแม้แต่เจ้าเดียว ถามยังคิดตังค์ตั้ง 50 เหรียญต่อหนึ่งชื่อ ใครจะไปรู้ว่ามีคนมากมายขี้เกียจตั้งชื่อเว็บไซต์ตัวเองแถมยังยอมจ่ายให้คนอื่นตั้งให้อีกด้วย แต่ก็อย่างว่าแหละครับ ปัญหาของคนๆหนึ่งย่อมสามารถเป็นทางออกให้อีกคนหนึ่งได้เสมอ

11. Satlav ปวด…กลางถนนบริการนี้ช่วยได้

ไอเดียอันนี้ก็ถือว่าเป็นไอเดียที่แปลกแต่จริงอีกไอเดียหนึ่ง นึกแล้วอยากเข้าห้องน้ำ…ไม่ใช่อะไรหรอกครับ แต่เขาคือบริการหาห้องน้ำสาธารณะด้วยมือถือ ที่น่าจะเหมาะกับประเทศที่มีสาธารณูประโภคดีกว่าเรามากมาย ที่ตั้งอยู่ใน London สำหรับผู้ที่ปวด…กลางถนนแล้วไม่รู้จะวิ่งไปทางไหน บ้านเขาไม่มีป่าละเมาะเหมือนบ้านเราเสียด้วย


ที่มา
http://www.digitalmoneylife.com/article-marketing/11-%e0%b9%84%e0%b8%ad%e0%b9%80%e0%b8%94%e0%b8%b5%e0%b8%a2%e0%b8%9a%e0%b9%89%e0%b8%b2%e0%b9%81%e0%b8%95%e0%b9%88%e0%b8%94%e0%b8%b1%e0%b8%99%e0%b8%97%e0%b8%b3%e0%b9%80%e0%b8%87%e0%b8%b4%e0%b8%99.html#more-69

10 เทคนิคปรับเพิ่มยอดขาย อีเบย์

10 เทคนิคปรับเพิ่มยอดขาย อีเบย์

ช่วงนี้ กระแสอีเบย์เริ่มมาแรงอีกครั้ง และคาดการณ์ว่าน่าจะมีคู่แข่งเพิ่มมาอีกเยอะ คนขายหลายคนเมื่อขายไม่ได้ ยอดไม่กระเตื้องเอาเสียเลย ก็หนีหายไปเยอะ การรู้จักปรับตัวให้ทันเกมการแข่งขัน น่าจะเป็นทางออกที่ดีไม่น้อย เราลองมาปรับเพิ่มยอดขายของเราอย่างง่ายๆดีกว่า เทคนิคและวิธีการในบทความนี้ อาจจะทำให้ประกาศของคุณ ดูน่าสนใจและเพิ่มยอดคลิกเพื่อตัดสินใจซื้อง่ายขึ้น นั่นคือ การปรับปรุง eBay Listing ให้ดีกว่าเดิม

วิธีการนี้อาจไม่ต้องไปลดราคาแข่งกับใคร ไม่ต้องหาสินค้าใหม่หรือเลียนแบบสินค้าคนอื่่นๆ ก็น่าจะทำให้อยู่รอดได้สบายๆ ลองเอาไปปรับใช้ดูครับ


ใส่ตัวอักษรใน Title ให้เต็มพิกัด

ปกติแล้วตัวอักษรบน Title สำหรับประกาศขายสินค้านั้น ทาง อีเบย์ กำหนดให้ใส่ได้แค่ 55 ตัวเท่านั้น เกินจากนี้จะใส่ไม่ได้อีก เพราะเต็มโควต้า ใครที่ใช้ไม่คุ้มก็เท่ากับว่าเสียของเปล่าๆ ดังนั้นพยายามใส่ตัวอักษรให้มากที่สุด ยิ่งมากก็ยิ่งได้เปรียบ ไม่ต้องกลัวว่าจะต้องจ่ายตังค์เพิ่ม เพราะยังไงแล้ว ค่าใช้จ่ายส่วนนี้ อีเบย์ เก็บจากเรา (ผู้ขายสินค้า) ไปเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นเติมให้ครบเสียดีกว่าปล่อยเว้นว่างไว้

อย่าลืมว่ารายการประมูลสินค้าของเรามีโอกาสอยู่บน อีเบย์ ได้มากที่สุดเพียง 10 วันเท่านั้น ตัวอักษรทั้งหลายที่ใส่ไป ควรจะเป็น Keyword ที่นิยมค้นและเกี่ยวเนื่องกับสินค้าของเรามาุกที่สุด อย่าใส่แบบไม่ลืมหูลืมตา หรือไม่เกี่ยวอะไรกับสินค้าของเราเลย (มีคนเข้ามาดู แต่ไม่ซื้อ ก็ไม่มีประโยชน์) คำที่นิยมใส่ไว้ควรบอกว่าของที่เราขายนั้นคืออะไร ? เสื้อ กางเกง สร้อย แหวน กำไล หรือ หนังสือ? อาจจะพ่วงด้วยยี่ห้อสินค้า ชื่อคนแต่งหนังสือ โมเดลหรือรุ่นที่ผลิต ระบุสี วัสดุที่ทำ น้ำหนักหรือขนาดของสินค้าเข้าไปด้วย (หากมีที่เหลือพอ) ก็จะสื่อให้คนเข้ามาคลิกได้มากขึ้น แต่ทั้งนี้ ต้องแน่ใจว่าเกี่ยวข้องกับสินค้าที่เราประกาศขายจริงๆ อย่าเป็นลักษณะของการ Spam เพราะการทำเช่นนั้นผิดกฎของ อีเบย์ อย่างแน่นอน นอกจากจะถูกปลดรายการออกยาวเลยแล้ว ยังจะไม่ได้ค่า Fee คืนอีกต่างหาก

คำแนะนำคือ ตัดเอาคำเกินที่ไม่สื่อความหมายออกไปเสีย เช่น Wow!, หรือ Look! เพราะจะกินพื้นที่เปล่าๆ และ keyword พวกนี้ถ้าเลี่ยงได้ก็เลี่ยงครับ เนื่องจากไม่เป็นที่นิยมในการใช้ค้นหา (ลองนึกดูว่าถ้าเราจะซื้อสินค้าสักชิ้น เราจะพิมพ์คำค้นด้วยวลีเหล่านี้หรือไม่)

ถ้ายังที่ว่างพอหลงเหลืออยู่ อาจหันไปใช้กลุ่มคำหรือวลีอันอื่นแทนที่ Wow! หรือ Look! อะไรพวกนี้ ด้วยคำว่า New หรือ Old เพื่อบ่งบอกว่าสินค้าของเราเก่าหรือใหม่ ก็จะดูดีกว่า และยังเป็นคำค้นที่นิยมใช้ด้วย หรือหาคำย่อที่ใช้ในเว็บ อีเบย์ เพิ่มเข้าไปอีกแทนพื้นที่ว่างๆ ก็ได้ เช่น เติมอักษร NR (No Reserve) ต่อเข้าไปในส่วนท้าย เพื่อบ่งบอกว่า สินค้าชิ้นนี้ ไม่ได้กั๊กราคาหรือตั้งราคากันเอาไว้ อะไรแบบนี้ เป็นต้น

เช็คคำสะกดให้ถูกต้อง

หลายครั้งที่เราพบว่า Listing ของเราไม่โชว์หรือไม่แสดงผลลัพธ์ในการค้นเลย เป็นไปได้ว่าการสะกดคำใน Title และ Description ของเรานั้น บางทีเพี้ยนหรือสะกดผิดไป อาจจะวางตำแหน่งตัวอักษรผิดที่ ตกหล่นอักษรบางตัว หรือมือเร็วไปหน่อย ทำให้พิมพ์ตกๆหล่นๆ ทางที่ดีก่อนลงประกาศก็เช็คคำสะกดเหล่านี้ให้ถูกต้องด้วยครับ จะได้ไม่เสียค่าธรรมเนียมการลงประกาศขายไปฟรีๆ โดยที่ไม่มีโอกาสให้คนอื่นเข้ามาเห็นเลยแม้แต่ครั้งเดียว ยิ่งถ้าสินค้าที่เราลงประกาศขายชิ้นนั้นตั้งราคาประมูลที่ต่ำด้วยแล้ว โอกาสที่จะเจอนักซื้อมือทองที่สบโอกาส คว้ารายการประมูลนั้นไปในราคาที่ต่ำแสนต่ำ ยิ่งเป็นไปได้มาก เพราะพวกนี้จะชำนาญเรื่องการใช้เทคนิคค้นข้อมูลด้วยคำที่สะกดผิด และมองหาสินค้าที่ไม่มีคนเข้ามาดู และชิงประมูลเอาไปในวินาทีสุดท้าย ซึ่งอาจจะทำให้คุณหัวเสียก็เป็นได้ เพราะไม่เป็นไปอย่างที่คาดหวังไว้ แต่ถ้าจะวางกับดักแบบหนามยอกเอาหนามบ่งพวกนี้ ก็ตั้งราคาแบบพอมีกำไร หรือล่อด้วยราคาต่ำแต่บวกค่าขนส่งที่มากกว่ารายการประมูลอื่น แบบนี้น่าจะใช้ได้เช่นกัน แต่ระวังว่าอย่าบวกค่าขนส่งที่แพงจนน่าตกใจน่ะครับ เดี๋ยวเข้ามาแล้วจะหายไปเสียดื้อๆ

สร้างเงื่อนไขให้โดนใจ

บ่อยครั้งที่ Listing ของเราวางเงื่อนไขที่ดุดัน รุนแรงและวางระเบียบไว้มากเกิน มองในด้านผู้ซื้อ เมื่อเข้ามาแล้ว อ่านดูแล้ว อาจจะฉุนนิดๆก็ได้ ทางที่ดีควรผ่อนเงื่อนไขให้ตรงใจกันทั้งสองฝ่าย อย่าตึงหรือหลวมมากเกินไป การเขียนเพื่อบอกเงื่อนไขแข็งข้อมาก ฝ่ายผู้ซื้ออาจจะหนีไปเสียดื้อๆ แต่ถ้าทำให้เขาพอใจ และรับได้กับบางสิ่งบางอย่างที่เราตั้งกฎเกณฑ์ไว้ ก็ใช่ว่าจะทำไม่ได้ โบราณกล่าวไว้ว่า คำพูดดีๆไม่ต้องซื้อหา ปากหวานๆหยอดวาจาสวยๆแค่นี้ก็กินใจได้เยอะครับ

ตั้งราคาไม่สูงหรือแพงมากไป

บ่อยครั้งที่พบว่าสินค้าเราขายไม่ได้หรือไม่มีคนซื้อหรือมาประมูลเอาเสียเลย อาจเป็นไปได้ว่าไม่มีการวิจัยหรือสำรวจตลาดโดยรวมเสียก่อนว่า ราคาที่อยู่ในตลาดนั้นแค่ไหนกันแน่ และควรจะเริ่มตั้งราคาประมูลที่เท่าไหร่ดี บางครั้งการตั้งไว้สูงจนเกินไป ก็ทำให้โอกาสในการขายของชิ้นนั้นยากมากขึ้นด้วย ทำนองกลับกันการตั้งราคาที่แหวกม่านประเพณี แบบลดกระหน่ำ Summer Sale หรือตั้งไว้ต่ำจนน่าตกใจ เพื่อล่อให้คนมาซื้อหรือประมูลก็ใช่ว่าจะขายได้ไปเสียทุกชิ้น บางรายการอาจจะทำให้คู่แข่งที่ขายสินค้าแนวเดียวกันเข้ามาแกล้งเอาดื้อๆก็ได้ (ภาษาชาวบ้านเรียกว่า หมั่นไส้!) การขายในราคาประมูลที่ต่ำมาก อาจจะได้ผลดีในระยะแรกๆที่จะทำให้มีคนมาประมูลเยอะขึ้น แต่ในระยะยาวท่านจะต้องทนร้ับสภาพกับราคาที่ขายต่ำแบบนี้ไปอีกนานครับ เรียกว่าขายยังไงก็ไม่ได้กำไร ดังนั้นการตั้งราคาก็เอาพอให้รับได้ ไม่สูงมากหรือต่ำเกินกว่าที่ควรจะเป็น หลายครั้งการตั้งราคาอาจจะบวกกำไรเอาไว้ราวๆ 100-200% (เผื่อต้นทุนในการลงประกาศขายและค่าธรรมเนียมอื่นๆ) แต่ถ้าเป็นสินค้าที่ไม่มีคู่แข่งด้วยแล้ว จากประสบการณ์มากสุดที่เคยทำคือประมาณ 600% ก็ยังพอขายได้ครับ สำหรับสินค้าที่โดนใจจริงๆ คำแนะนำข้อนี้อาจจะไม่มีหลักเกณฑ์ตายตัวแต่เดินอยู่ในทางสายกลางน่าจะดีที่สุด

ใส่รูปประกอบคำอธิบาย

คำพูดล้านคำไม่เท่ากับใช้ภาพเพียง 1 ภาพ มาอธิบาย วิธีการเหล่านี้ยังเอามาใช้ได้บน อีเบย์ นะครับ โดยเฉพาะกับ eBay Listing ของเรา ควรอย่างยิ่งเลยครับ ใส่ภาพประกอบไปเสียหน่อยจะทำให้ง่ายในการอธิบายด้วยคำพูดยาวๆได้ดีมาก ภาพที่ใช้ก็ควรจะเป็นภาพที่เด่น ชัดเจนและตรงกับคำอธิบายพอสมควร ผู้ขายรายใดมี Hosting ให้เลือกใช้ ถ้าเป็นไปได้ใส่สัก 2-3 รูปก็ไม่เลว ทั้งภาพด้านหน้า ด้านข้่าง ด้านหลังของตัวสินค้า ภาพที่เลือกใช้ไม่จำเป็นต้องใหญ่โตเท่าฝาบ้าน เอาพอใ้ห้เห็นตำหนิ รูปพรรณหรือแบบของสินค้าอย่างคร่าวๆก็จะดีกว่าภาพใหญ่ๆแต่ไม่ได้เน้นรายละเอียดอะไรเลย ในการลงประกาศขายสินค้าของ อีเบย์ จะมีให้เลือกออพชั่นการแสดงผลแบบ Gallery ด้วย ถ้าเป็นสินค้าที่มีคู่แข่งมากในตลาด และอยากให้คนเข้ามาคลิกดูรายการของท่านบ้าง ควรเสียเงินเพิ่มอีก $0.35 สำหรับแสดงผลแบบ Gallery ด้วยครับ อย่างน้อยก็ทำให้เปอร์เซ็นต์ในการคลิกประกาศของเรา มีสูงกว่ามาก

ปรับ Listing ให้สวย สะดุดตา

หลายครั้งที่หน้าประกาศขายสินค้าก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ลูกค้ากล้าตัดสินใจซื้อมากขึ้น โดยเฉพาะสินค้าที่มีราคาแพง เครื่องประดับหรือสินค้าทั่วไป การปรับแต่ง Listing ให้สวย โดนใจและเข้ากับกลุ่มลูกค้าก็จะทำให้เกิดการตัดสินใจซื้อหรือประมูลง่ายขึ้นนั่นเอง เช่น ขายสินค้าผู้หญิงก็เน้นโทนสีออกชมพูหวาน หรือมีลูกเล่นเล็กน้อย ขายสินค้าผู้ชายก็เน้นโทนสีของ Listing ออกเข้ม ดุดันออกแนวสีน้ำตาล ดำหรือสีที่แสดงให้ถึงความเข้มแข็ง หนักแน่น เป็นต้น การเลือกใช้ Template ที่ อีเบย์ มีให้ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ช่วยให้การสร้าง Listing ง่ายมากขึ้น แต่ถ้าหากจะต้องเขียนเองหรือยุ่งยากอาจไหว้วานคนรู้จักให้ทำต้นแบบไว้สักแบบสองแบบ แล้วนำมาใช้ก็เป็นเรื่องที่ไม่ได้วุ่นวายอะไรมากนัก ลองดูเถอะครับแล้วจะรู้ว่าการทำให้ประกาศดูน่าเชื่อถือและแสดงถึงความเป็นมืออาชีพด้วยแล้ว ไม่ได้ยากอย่างที่คิด

ใส่ Link เชื่อมโยงไปดูหน้าสินค้าอื่น

เมื่อลูกค้าเข้ามาดูประกาศหรือ Listing นั้นแล้ว บางครั้งอาจไม่ใช่สินค้าที่เขาต้องการ ดังนั้น อีเบย์ จึงอนุญาตให้เราสร้าง Link เพื่อเชื่อมโยงไปยังหน้าสินค้าอื่นที่เราขายบน อีเบย์ อีกได้ เช่น รายการที่ขายอยู่ในขณะนั้น หรือ eBay Store ที่เปิดเอาไว้ หากไม่สันทัดในเรื่องการสร้าง Link ก็เลือกใช้บริการของ Third Party หรือผู้ให้บริการจากข้างนอก (เช่น Auctiva หรือ Vendio) ซึ่งจะดึงเอาสินค้าที่มีอยู่ของเรามาต่อท้ายเป็น Gallery Listing เพื่อดึงดูดให้คลิกดูรายการสินค้าอื่น ซึ่งช่วยเพิ่มยอดขายและโอกาสให้คนเห็นมากขึ้นเช่นกัน

เลือกเวลาลงรายการให้เหมาะสม

บางครั้งการเลือกลงเวลาให้จบการประมูลก็เป็นเรื่องจำเป็นอย่างยิ่ง ในการลง Listing พยายามให้จบประการประมูลในช่วงหัวค่ำ จะดีกว่าให้จบการประมูลในช่วงที่คนส่วนใหญ่นั่งทำงานหรือไม่ได้มีเวลาจะมานั่งหน้าจอกันนานๆ เวลาที่ผู้ขายนิยมมากสุดก็คือช่วง 7pm-11pm ทั้งนี้ทั้งนั้นอาจจะพิจารณาปัจจัยและเหตุผลอื่นๆประกอบด้วยครับ ว่าสินค้าของเรานั้นเน้น Target กลุ่มไหน แม่บ้าน นักเรียน คนทำงาน อาจจะไม่ต้องจบประมูลในช่วงเวลาเหล่านี้เสมอไป การเลือกลงเวลาจบประมูลให้เหมาะสม ไม่ได้มีผลแค่ให้คนเข้ามาหา Listing ของเราง่ายขึ้น (ค้นตามเวลาใกล้จบประมูล) เท่านั้น รายการสินค้าที่หายาก ของที่มีอยู่ชิ้นเดียวในโลกหรืออยู่ในกระแสและมีความต้องการสูงมากในเวลาใดเวลาหนึ่ง ย่อมเกิดการแย่งประมูลสินค้าชิ้นนั้นมากขึ้น ส่งผลให้ราคาการจบประมูลก็สูงมากเช่นกัน คนขายอย่างเราๆก็คง Happy ไม่ใช่น้อย ลองดูน่ะครับ ปรับเวลาให้เหมาะสม เลือกเอาว่าเวลาไหนดี ไม่จำเป็นต้องเหมือนคนอื่นเสมอไป

ตั้งค่าขนส่งแบบสมน้ำสมเนื้อ อธิบายชัดเจน

การขายสินค้าบน อีเบย์ อย่างหนึ่งที่ขาดเสียไม่ได้คือ การแจ้งราคาค่าขนส่งให้ลูกค้าทราบเีสียแต่เนิ่นๆ ก็จะเป็นการดี โดยเฉพาะการส่งสินค้าจากไทยไปยังปลายทางต่างประเทศแล้ว ย่อมมีอัตราค่าขนส่งที่ไม่เท่ากัน ควรบ่งบอกด้วยว่าปลายทางที่ส่งไปนั้น แต่ละแห่ง แต่ละ Zone คิดค่าธรรมเนียมอย่างไรบ้าง ส่งด่วน ส่งเร็วคิดค่าบริการกี่เท่า มีประกันด้วยหรือไม่ สิ่งต่างๆเหล่านี้ควรมีบอกไว้อย่างชัดเจน นอกจากจะไม่ต้องคอยตอบคำถามแบบซ้ำซากแล้ว ยังทำให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อหรือประมูลง่ายขึ้นเช่นกัน สำหรับวิธีการคิดค่าขนส่งนั้นควรบวกต้นทุนต่างๆรวมเข้าไว้ด้วย เช่น ค่ากล่อง หีบห่อ เทปกาว ค่าน้ำมันรถ (จากบ้านไปที่ไปรษณีย์) เชือกมัด ป้ายชื่อ หมึกพิมพ์ ค่าแรงงาน สิ่งต่างๆเหล่านี้ควรรวมอยู่ในต้นทุนค่าขนส่งทั้งหมด ประการสำคัญคือ อย่าตั้งมากไปจนคนซื้อปฎิเสธไปเสียดื้อๆ ให้ดูจากคู่แข่งหรือตลาดโดยรวมว่าอยู่ในเกณฑ์ระดับใดจะดีที่สุด

ตอบคำถามให้ไว ทันใจผู้ซื้อ

บางครั้งเมื่อลูกค้าเห็นรายการประกาศสินค้าของเราแล้ว อาจจะยังไม่มีการตัดสินใจซื้อ ณ เวลานั้น เนื่องจากข้อมูลที่มีอยู่ยังไม่เพียงพอ แน่นอนว่า การส่งคำถามจากผู้ซื้อเข้ามาหาเรา (ผ่านระบบ Ask Seller Question) ย่อมเป็นสัญญาณบอกเราได้อย่างดีว่า สินค้าชั้นนั้นน่าจะมีโอกาสขายได้บ้าง (อย่างน้อยก็ยังสนใจบ้าง!) วิธีที่แนะนำคือ ตอบคำถามให้ไวและตรงประเด็นเอาไว้ก่อน พร้อมทั้งโน้มน้าวให้ตัดสินใจซื้อมากขึ้น ซึ่งหลายๆครั้งพบว่า การตอบคำถามชัดเจนและแจ้งให้ทราบก่อนจบประมูลก็ช่วยเร่งรัดการตัดสินใจของลูกค้าได้มากขึ้นเช่นกัน

คำแนะนำทั้ง 10 ประการ อาจไม่จำเป็นต้องทำให้ได้หมดทุกข้อ ลองนำไปประยุกต์ใช้ให้เหมาะกับสินค้าและกลุ่มเป้าหมายของท่าน ก็น่าจะเพิ่มยอดขายหรือกระตุ้นให้เกิดการซื้อได้ไม่มากก็น้อยครับ

ขอขอบคุณ
http://www.siampoint.com

ทำไมทำ AdSense ไม่เคยได้เงินเลย

คำถามนี้ใครๆก็ต้องเคยสงสัย ผมเองก็เคยสงสัย และสงสัยอยู่เป็นปี แต่ก็ได้คำตอบในที่สุด ที่กว่าจะได้มาก็ต้องแลกกับเวลาและความพยายามค่อนข้างมากทีเดียว

สิ่งแรกเลยที่เป็นปัญหาของคนไทยที่ทำ AdSense แล้วไม่ได้เงินคือ การเลือกคีย์เวิร์ดผิดๆ เลือกคีย์เวิร์ดที่ค่าคลิกน้อย แต่นั่นก็ไม่เท่ากับความอดทนที่มีน้อย และใจร้อนเกินไป คนส่วนใหญ่จะชอบคิดไปว่าการหาเงินทางเน็ตนั้นจะต้องเป็นอะไรที่เร็วทันใจ ทำวันนี้ได้อาทิตย์หน้าอะไรอย่างนี้ ซึ่งนั่นเอง ผมว่าถ้าขายของออนไลน์ก็ไม่แปลกหรอกครับ ถ้ารู้ว่าจะขายอะไรแล้วขายได้ ก็จะได้เงินเร็วแน่นอน แต่ไม่ใช่ AdSense แน่นอน แม้เว็บปั่นก็ตามยังต้องรอเป็นเดือนเลยกว่าจะเห็นผลที่น่าพอใจแบบเป็นรูปธรรมจริงๆ

เรื่องสุดท้ายที่เห็นบ่อยที่สุดก็คึือ ปิดเว็บเร็วเกินไป พอไม่เห็นคลิกเพียงไม่กี่เดือน ก็ปิด เลิกทำกันไปเลย มันเร็วไปครับ ผมว่าอย่างน้อยต้องรอซักปีหนึ่ง และช่วงเวลาที่รอนั้นก็โปรโมทมันเข้าไป เหลือเวลาก็ทำเว็บที่อื่นอีกได้ เอาบทเรียนจากเว็บแรกมาทบทวนดู เพราะเท่าที่ผมดูฝรั่งส่วนใหญ่ที่ทำเงินได้มากมายกับวงการ PPC ก็ล้วนแต่ใช้เวลาอย่างน้อยหนึ่งปีทั้งนั้น ในการทำสิ่งเดิมๆไปเรื่อยๆ นั่งโพสไปอาทิตย์ละโพสสองโพส จนบล็อกมีคนติดเอง ก็ไม่เคยซักทีที่เห็นบล็อกไหนเกิดมาได้ 2-3 เดือนแล้วทำเงินได้วันละเป็นร้อยเหรียญ แต่ก็นั่นแหละครับ เขาเขียนภาษาอังกฤษได้ ไม่เหมือนเราๆท่านๆส่วนใหญ่

แต่ถ้าคุณมีปัญหาเรื่องบทความต่างๆ ผมก็คิดว่าทางออกที่ดีที่สุดในการทำเงินกับ PPC อย่าง AdSense หรือ Chitika ก็คือการทำเว็บไดเร็คทอรี่ซะเอง แค่หาคีย์เวิร์ดมา วงการที่ไม่เกร่อนัก แต่มีค่าคลิกไม่ต่ำว่า 1 เหรียญนะ ต่ำกว่านั้นผมว่าเสียเวลามากไปในการรอ ปกติก็รอแย่แล้วกว่าจะได้คลิก จากนั้นรวบรวมลิงก์มาให้ได้มากที่สุด แล้วก็เอา ad วางให้กลมกลืนกับลิงก์ที่ว่า จากนั้นก็ฝากลิงก์และโปรโมท โดยไม่ต้องพึ่งบทความอะไรเลย ผมเห็นมีคนไทยทำแบบนี้ ได้เดือนละหลายหมื่นบาทก็มีครับ เป็นไปได้ทีเดียว เก็บไว้เป็นออฟชั่นแล้วกันครับ ในการทำเว็บหากินกับ PPC ครั้งหน้า


ที่มา
http://www.naitam.com/naitam-affiliate/view.php?id=110

เปิดร้านขายของออนไลน์

มีกิจการส่วนตัว ถือเป็นความฝันของใครหลายๆ คน ซึ่งสมัยนี้ไม่จำเป็นต้องลงทุนสูง เพื่อหาทำเลเปิดหน้าร้านให้ยุ่งยากอีกต่อไปแล้ว เพราะระบบอินเทอร์เน็ตสามารถเนรมิตให้คุณมีร้านขายของส่วนตัวขึ้นมาได้ในพริบตา โดยที่แทบจะไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายมากมาย

การจะเปิดร้านค้าออนไลน์ของตัวเองนั้นมีหลักการคิดง่ายๆ ไม่แตกต่างไปจากการเปิดหน้าร้านปกติมากนัก โดยก่อนอื่นก็จะต้องคิดว่าจะขายอะไร ขายให้ใคร ขายที่ไหน และขายอย่างไร

ขายอะไร คนส่วนใหญ่มักจะลืมคิดถึงเรื่องนี้เป็นเรื่องแรก แต่มักจะไปคิดถึงระบบหรือวิธีที่จะใช้ขายของกันก่อน ซึ่งนั่นทำให้ธุรกิจไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร เพราะวิธีการขายที่คิดไว้อาจจะไม่เหมาะกับสินค้าที่จะขายนั่นเอง ดังนั้นคุณควรคิดก่อนว่าจะขายอะไร โดยสินค้าหรือบริการที่จะขาย ต้องเป็นสิ่งที่คุณพอจะมีความถนัด ความเข้าใจในตัวสินค้าอยู่บ้าง สินค้ามีความโดดเด่น ไม่เหมือนกับรายอื่นๆ ที่มีอยู่ในตลาด หรือไม่ก็ต้องเป็นสินค้าที่มีแนวโน้มว่าจะเป็นที่ต้องการของตลาด หรืออาจจะเป็นสินค้าที่กำลังเป็นที่ต้องการของตลาดอยู่แล้ว ซึ่งการเลือกสินค้าถือเป็นกระบวนการที่สำคัญมากในการเริ่มต้นขายของ

ขายให้ใคร หลังจากตัดสินใจได้แล้วว่าจะขายสินค้าหรือบริการอะไร ก็ต้องมาคิดต่อว่ากลุ่มเป้าหมายของสินค้าเหล่านี้เป็นใคร เป็นคนกลุ่มไหน อายุประมาณเท่าไร หญิงหรือชาย จะขายคนในประเทศหรือต่างประเทศ ตลาดไหนที่จะเป็นตลาดหลักของสินค้าที่จะขาย สิ่งเหล่านี้ต้องวางแผนเอาไว้เพื่อจะได้เลือกทำเลที่จะใช้ขายของต่อไป

ขายที่ไหน เมื่อตัดสินใจเลือกสินค้าที่จะขายและกลุ่มเป้าหมายได้แล้ว ก็ต้องมาเลือกทำเลขายของ หรือที่เปิดหน้าร้านที่จะเหมาะกับสินค้าและกลุ่มเป้าหมายด้วย เพราะการขายของไม่ได้มีแต่วิธีทำเว็บไซต์เพียงอย่างเดียว แต่ยังมีอีกหลายๆ แห่งที่สามารถนำสินค้าไปวางขายได้ เช่น ขายของผ่าน Social Network, e-Marketplace, Blog, Amazon เป็นต้น

ขายอย่างไร ในส่วนนี้ก็ต้องมาเลือกรูปแบบการขายสินค้าของตัวเองแล้วว่าจะทำเองขายเอง ฝากขาย หรือว่าจะรับมาขาย แล้วกินค่านายหน้าก็แล้วแต่ความถนัด ถ้ามีสินค้าเอง ผลิตขึ้นมาเองก็อาจจะทำเองขายเอง หรืออาจจะฝากขายด้วยก็ได้ โดยเราสามารถสร้างช่องทางการขายขึ้นมาได้ตามความต้องการ แต่สำหรับผู้ที่ไม่มีสินค้าของตัวเองจะเลือกการเป็นนายหน้ารับสินค้ามาขายแล้วกินเปอร์เซ็นต์ค่านายหน้าก็ได้ ซึ่งสมัยนี้ก็นิยมใช้วิธีการนี้กันมาก เพราะเป็นเหมือนการจับเสือมือเปล่า

เรียนรู้ช่องทางการขาย
ช่องทางการขายเป็นส่วนประกอบที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งที่จะทำให้การขายของประสบความสำเร็จ โดยการเลือกช่องทางก็ต้องให้เหมาะกับสินค้า ความถนัดของผู้ขายที่มีอยู่เดิม และในขณะเดียวกันก็ต้องปรับปรุง เปลี่ยนแปลง เพิ่มเติมช่องทางการขายให้กว้างขึ้น รวมทั้งพัฒนากลยุทธ์วิธีการขายของตัวเองให้พัฒนาเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ เพื่อให้มียอดการขายที่เพิ่มสูงขึ้น ทีนี้มาศึกษาว่าช่องทางไหนที่ตัวเองถนัดที่สุด

ขายผ่าน Social Network การใช้ Social Network เป็นช่องทางที่ดีอย่างหนึ่งสำหรับการเริ่มขายของ โดยผู้ที่เพิ่งจะเริ่มต้นขายอาจจะทดลองตลาดดูก่อน โดยใช้ช่องทางที่เปิดให้บริการฟรีเพื่อนำสินค้าไปเสนอขายได้ โดยลงแค่แรง ไอเดีย และอาจจะต้องลงทุนบ้างเล็กน้อย เช่น การสร้าง Blog ขึ้นมา การเข้าไปเป็นสมาชิกใน Social Network ที่เปิดโอกาสให้ขายของได้ด้วย เช่นที่ bloggang.com, Facebook.com, Blogger.com เป็นต้น โดยใน Social Network เหล่านี้จะมีการจัดพื้นที่ให้ขายสินค้าโดยเฉพาะ หรือจะสร้างบล็อกของตัวเองให้เป็นร้านขายของเลยก็ได้

ขายผ่าน e-Marketplace สำหรับผู้ที่ต้องการจะเปิดเว็บไซต์ หรือเปิดหน้าร้านกับ e-Marketplace ทั้งหลาย ก็สามารถทำได้เช่นกัน โดยปัจจุบันมีตลาดหลายแห่งที่เปิดให้บริการอยู่ เช่น Tarad.com, Shopping.co.th, Weloveshopping.com เป็นต้น ซึ่งการขายสินค้าผ่าน e-Marketplace นั้นจะต้องเข้าไปเป็นสมาชิกก่อน ส่วนการเลือกใช้บริการเว็บไซต์ร้านค้าสำเร็จรูปก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ช่วยประหยัดเวลาการสร้างหน้าร้านได้เช่นกัน

ขายผ่าน Amazon.com สำหรับช่องทางนี้จะเหมาะกับผู้ที่ไม่มีสินค้าเป็นของตัวเอง แต่รับเอาสินค้าของที่อื่นมาขายแล้วกินค่านายหน้า โดยอัตราค่านายหน้าที่ได้จะอยู่ที่ 4-20% ของราคาขาย ขึ้นอยู่กับหมวดสินค้า ซึ่งผู้ที่จะขายผ่านช่องทางนี้จะต้องมีเว็บไซต์หรือบล็อกเป็นของตัวเอง แล้วนำเว็บไซต์ที่จะขายของนี้ไปสมัครกับทาง Amazon.com (จะคล้ายๆ กับการสมัคร Google AdSense) จากนั้นก็กรอกข้อมูลตามขั้นตอนต่างๆ เสร็จแล้วก็รอการตรวจสอบจากทาง Amazon ถ้าผ่านแล้วจะได้รับ Account ที่จะแจ้งมาให้ทางอีเมล

หลังจากได้รับ Account แล้วก็สามารถนำสินค้าของ Amazon มาขายได้ โดยการซื้อ-ขายผ่าน Amazon หลักๆ แล้วจะมี 3 รูปแบบด้วยกัน คือการสร้าง Links/Widgets โดยเราจะสามารถนำ Banner, Text Link, Widget มาแปะที่ไหนก็ได้บนเว็บไซต์เพื่อขายสินค้า ถ้ามีคนคลิกก็จะได้รับค่านายหน้าไป

อีกรูปแบบหนึ่งจะสร้างร้านค้าขึ้นมาเองจาก Amazon ซึ่งวิธีการนี้จะเรียกว่า aStore โดยรูปแบบนี้เป็นระบบของ Amazon ที่ให้สมาชิกสามารถสร้างร้านค้าของตัวเองได้ฟรี สามารถเลือกสินค้าที่นำมาวางในร้านของตัวเองได้ตามใจชอบ โดยสินค้าที่เลือกจะมาจาก Amazon เช่นกัน แต่คุณสามารถเลือกสินค้าหรือหมวดสินค้าที่ต้องการขายได้เอง เช่น ขายรถตัดหญ้า ขายเครื่องเล่น MP3 ขายอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ขายของแต่งสวน เป็นต้น ถ้ามีคนคลิกซื้อสินค้าก็จะได้รับค่านายหน้าไป

และแบบสุดท้ายคือการเลือกสินค้าจาก Amazon มาจัดการวางหน้าร้านขายของเอง แล้วจัดการส่งลิงก์ที่มี ID ของตัวเองไปที่ Amazon เมื่อมีการคลิกซื้อสินค้าเกิดขึ้นก็จะได้รับค่านายหน้าไปเช่นกัน

ลงมือปฏิบัติ
เมื่อเลือกสินค้า เลือกรูปแบบการขายที่ถนัด ทำการจัดวางโครงสร้างหน้าร้านให้กับร้านขายของตัวเองได้แล้ว ซึ่งนั่นหมายถึงการออกแบบหน้าร้านตัวเองว่าจะให้มีข้อมูลประเภทไหนบ้าง จะเอาสินค้าวางไว้ตรงไหน จะเอาโฆษณาวางไว้ตรงจุดไหน เมื่อสรุปได้แล้วก็อย่ามัวรีรอที่จะลงมือปฏิบัติกันอย่างจริงจัง เพราะขั้นตอนนี้ต้องใช้เวลานานกว่าจะได้ร้านค้าที่สวยถูกใจ และอาจจะต้องมีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างหน้าร้านอีกหลายรอบ อีกทั้งกว่าจะทำรายได้ให้นั้นก็ต้องใช้เวลาอีกเช่นกัน ไม่ได้รวดเร็วอย่างใจนึก

นอกจากนี้สำหรับผู้ที่สมัคร Google AdSense เอาไว้อยู่ก่อนแล้วจะสมัครขายของกับทาง Amazon.com เพิ่มขึ้นก็ได้ โดยหลังจากสมัครผ่านแล้วสามารถนำ ID โฆษณาจากทั้งสองแห่งมาติดไว้บนเว็บไซต์หรือบล็อกของตัวเองได้พร้อมกัน ซึ่งก็เป็นการเพิ่มช่องทางการสร้างรายได้ให้ตัวเองได้มากขึ้น

อย่าลืมโปรโมต
เมื่อสร้างหน้าร้านขายของสำเร็จแล้วก็ต้องป่าวประกาศให้ผู้คนได้รับรู้ จะได้มีคนเข้าไปที่หน้าร้านตัวเองให้มากๆ เพราะการสร้างร้านโดยที่ไม่เคยมีการประชาสัมพันธ์ตัวเองให้ผู้คนได้รับรู้ก็ไม่ต่างกับการสร้างตู้โชว์สินค้าเอาไว้ดูเล่นอยู่คนเดียว

ส่วนวิธีการโปรโมตร้านค้าตัวเองนั้น ทำเลที่คุณไปตั้งหน้าร้านบางแห่งก็มีเครื่องมือที่ช่วยโปรโมตสินค้าให้คุณ เพียงแต่ว่าจะต้องขยันอัพเดตสินค้าบ่อยๆ ซึ่งการจะไปตั้งหน้าร้านที่ไหน หรือเลือกรูปแบบการขายแบบไหนก็ต้องศึกษาวัฒนธรรม รวมถึงเครื่องมือของแต่ละแห่งที่มีให้ใช้เพื่อเอื้ออำนวยให้กับผู้ขายด้วย ซึ่งเครื่องมือเหล่านี้จะช่วยให้คุณโปรโมตร้านค้าของตัวเองได้ในเบื้องต้น แต่ถ้าต้องการให้ร้านตัวเองดังเพิ่มขึ้นก็ต้องใช้เครื่องมืออื่นๆ ผสมเข้าไปด้วย เช่น การใช้ SEO การแลกลิงก์ การเข้าไปรายงานตัวในไดเรกทอรีต่างๆ การใช้คีย์เวิร์ด เป็นต้น

สมัยนี้ใครคิดจะทำเว็บไซต์สามารถทำได้ง่ายๆ แต่จะทำให้ติดอันดับต้นๆ ใน Google หรือจะเรียกคนเข้าไปที่ร้านได้นั้นทำได้ยากยิ่งกว่าการให้คนเข้ามาที่ร้านแล้วตัดสินใจซื้อสินค้าของคุณซะอีก

Source:
Ecommerce Magazine

5 ความผิดพลาดในการเลือกสินค้า Affiliate

5 ความผิดพลาดในการเลือกสินค้า Affiliate

การทำ Affiliate หรือการเป็นนายหน้าขายสินค้าบนเน็ตนั้นเป็นอาชีพเสิรมที่สามารถหาเงินให้คนที่ทำเก่งๆได้เป็นหมื่นๆบาทต่อเดือนอย่างไม่ต้องสงสัย

มีสินค้าให้เลือกขายมากมาย จะว่าไปในสมัยนี้มันก็น่าจะมีทุกอย่างให้คุณเลือกขาย สินค้าบางประเภทแบ่งเปอร์เซ็นต์ 50% ในขณะเดียวกันสินค้าอีกประเภทแบ่งแค่ 2% แถมขายยากกว่า ล้วนเป็นตัววัดความสำเร็จในการประสบความเร็จของการตลาดบล็อกเกอร์ทั้งสิ้น ดังนั้นเราจะไปดูความผิดพลาดที่พบบ่อยที่สุดในการเลือกสินค้าเพื่อทำ Affiliate ให้คุณได้เรียนรู้จากความผิดพลาดของคนอื่น ก่อนที่จะลงมือทำอะไรให้เหนื่อยเปล่า

1: เลือกสินค้าได้ไม่คุ้มเสีย

ก่อนเลือกสินค้าที่จะมาทำตลาดทุกครั้งคุณต้องคำนวณถึีงความคุ้มค่าในเวลาที่เสียไปกับการนั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ทุกๆวันด้วย หลายคนดีใจวันนี้ทำเงินได้ 5 เหรียญ แต่ลืมไปงานปกติทั่วๆไปที่เขาทำกันวันๆหนึ่งมันทำเงินได้มากกว่านั้นมากนัก และค่าไฟในการนั่งอยู่กับบ้านทั้งวันมันก็ไม่ใช่ได้มาฟรีๆ จะขายอะไรคิดว่าต้องให้คุ้มไว้ก่อนเสมอด้วยการคำนวณค่าเสียเวลาของคุณด้วย ถ้าคุณมีงานประจำอยู่แล้ว ก็ควรจำกัดเวลาการเอามานั่งทำ Affiliate ในแต่ละวันด้วย เดี๋ยวจะพาเสียทั้งสองเรื่องนะครับ


2: วางแต่ป้ายขายของโดยไม่มีความเห็นใดๆ

ความผิดพลาดแบบนี้พูดอีกอย่างคือการขายสินค้าแบบไม่มีความเห็นใดๆ ไม่มีการรีวิวส่วนตัวใดๆทั้งสิ้น แค่บอกสรรพคุณของสินค้าและสเป็คเหมือนร้านทั่วๆไปก็นึกว่าจะขายได้ ผิดพลาดอย่างแรงครับ อาจจะขายได้แต่คงประสบความสำเร็จได้ยาก คนส่วนใหญ่ที่หาซื้อสินค้าออนไลน์คาดหวังการรีวิวหรือความเห็นจากผู้ใช้โดยตรงทั้งสิ้น ถ้าคุณไม่มีความเห็ํนจะให้ ลูกค้าก็จะไปหาที่อื่น


3: แผนเดิมสู้ตาย

ถ้าคุณกำลังเซ็งกับบล็อกที่ขายอะไรไม่ได้เลย มันถึงเวลาที่คุณจะลองเปลี่ยนแผนการขายหรือเลือกสินค้าที่แตกต่างมาขายบ้าง ลองมองโลกกว้างแล้วลองเปลี่ยนดูบ้างเผื่ออะไรจะดีขึ้น ถ้าคุณล้มเหลวกับสินค้าตัวหนึ่ง แต่กลับลองใหม่ด้วยสินค้าตัวเดิมแผนเดิมๆ ผลลัพธ์มันก็จะออกมาไม่ต่างจากเดิมนักหรอกครับ


4: เลือกขายสินค้าที่ตัวเองไม่มั่นใจ

สิ่งหนึ่งที่จะทำให้คุณโกหกได้แนบเนียนที่สุดก็คือความที่คุณไม่รู้ว่าคุณกำลังโกหกอยู่ และการสร้างความเชื่อมั่นอย่างปลอมๆมันก็อยู่ได้ไม่นานซะด้วย ดังนั้นถ้าจะให้กิจการดูสดใสและมีหวังอยู่เสมอ คุณควรเลือกสินค้าที่ขายแล้วทำให้คุณรู้สึกดีที่สุด ลองถามตัวคุณเองว่า สินค้านั้นมันคุ้มค่าหรือไม่ สินค้านั้นมันมีประโยชน์แค่ไหน ไม่มีอะไรดีไปกว่าการได้รู้สึกดีกับตัวเองอีกแล้วครับ พอคุณรู้สึกดีคุณก็จะสามารถเชียร์สินค้าตัวเองได้อย่างเต็มภาคภูมิ ถ้าไม่อย่างนั้นคุณก็จะต้องเป็นผู้ที่โกหกตัวเองที่เก่งมากหน่อย


5: ขายอย่างไม่วางแผน

ความผิดพลาดนี้อาจจะรวมถึงการวางแผนและไม่ทำตามแผนก็ได้เช่นกัน ถ้าคุณจริงจังกับการทำธุจกิจในโลกออนไลน์ก็ควรทำให้มันเหมือนเป็นธุรกิจจริงๆ ทำเหมือนกับว่ามันคือสิ่งสุดท้ายของชีวิตของคุณ คิดให้ดี วางแผน และตั้งเป้าหมายให้ดีก่อนลงมือทำ จะช่วยลดต้นทุน และแรงกายแรงใจที่จะเสียไปได้มากมาย นอกจากการคำนวณรายได้ต่างๆกับเวลาที่จะเสียไปแล้ว การวางแผนควรจะรวมถึงการเลือกใช้บริการ Affiliate ที่น่าเชื่อถือเท่านั้นด้วย

ที่มา
http://www.digitalmoneylife.com/make-money-affiliate/%e0%b8%81%e0%b8%b2%e0%b8%a3%e0%b9%80%e0%b8%a5%e0%b8%b7%e0%b8%ad%e0%b8%81%e0%b8%aa%e0%b8%b4%e0%b8%99%e0%b8%84%e0%b9%89%e0%b8%b2%e0%b8%97%e0%b8%b3-affiliate.html#more-262

ขาย Backlink อีกหนึ่งช่องทางหารายได้สำหรับคนเขียนบล็อก

ขาย Backlink อีกหนึ่งช่องทางหารายได้สำหรับคนเขียนบล็อก

วันนี้มีโอกาสได้พูดคุยกับพาร์ทเนอร์ทางธุรกิจที่ผมเป็นที่ปรึกษาด้าน กลยุทธ์การตลาดออนไลน์ให้อยู่ ซึ่งพาร์ทเนอร์คนนี้มีบล็อกส่วนตัวที่ไม่เกี่ยวกับงานหลักอยู่ด้วยก็คือ GGBerry Travel Blog บล็อกนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับการท่องเที่ยวเนื่องจากเจ้าของบล็อกรักการท่อง เที่ยว ชอบถ่ายรูป และบอกเล่าเรื่องราวผ่านตัวอักษรให้คนอื่นเข้ามาอ่าน

บล็อกนี้อาจจะมีจำนวนคนเข้าชมไม่มาก ส่วนใหญ่ก็คือเพื่อนๆ ที่รู้จักกัน มี PageRank 3 (ในขณะที่ผมเขียนอยู่) ถึงแม้จะติด Google AdSense ไว้ แต่ก็ไม่ได้มีรายได้อะไรเข้ามามากมายเพราะไม่ค่อยมีคนคลิก แต่สิ่งที่ทำให้ผมรู้สึกประหลาดใจก็คือเจ้าของบล็อกเพิ่งได้รับเงิน จากบริษัทต่างชาติ US $200 หรือเท่ากับราคาขายของ iPhone รุ่นใหม่ที่ Steve Jobs เพิ่งเปิดตัวไป สิ่งแลกเปลี่ยนที่บริษัทต้องการก็คือการลิงก์กลับ (Backlink) ไปยังเว็บไซต์ของลูกค้าบริษัท

ใช่แล้วครับ นี่คือการซื้อขายลิงก์ บริษัทที่ติดต่อมาก็คือบริษัทด้าน SEO ที่รับจ้างทำให้เว็บไซต์ของลูกค้าติดอันดับดีๆ ในหน้าผลลัพธ์การค้นหาของ Search Engine ปัจจัยหนึ่งที่จะช่วยเพิ่มอันดับได้ก็คือเว็บไซต์จะต้องถูกลิงก์มาจากเว็บ อื่นที่มีคุณภาพ คำว่า “คุณภาพ” ในที่นี้หมายถึงเว็บนั้นจะต้องมีเนื้อหาที่ไม่ซ้ำใคร ไม่ใช่ไปลอกทั้งดุ้นจากเว็บอื่น และเว็บนั้นควรจะมีเนื้อหาเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับเว็บที่ถูกลิงก์ไปหาด้วย เช่น ถ้าเว็บที่มีเนื้อหาด้านการท่องเที่ยวถูกลิงก์มาจากเว็บที่มีเนื้อหาด้านการ ท่องเที่ยวเหมือนกัน เว็บที่ถูกลิงก์ก็จะได้รับคะแนนที่ดี

กูรูในวงการ SEO คงจะรู้เรื่องการซื้อขาย Backlink ดีอยู่แล้ว แต่ผมเชื่อว่าคนเขียนบล็อกเป็นงานอดิเรกอีกจำนวนมากที่ยังไม่เคยรู้มาก่อน บล็อกเกอร์อย่างเราๆ คงรู้กันดีว่าถ้าอยากหารายได้จากการเขียนบล็อก ก็หนีไม่พ้นการติดโฆษณา หรือไม่ก็หาลิงก์ Affiliate มาวางแล้วให้คนคลิกเข้าไปสมัคร หรือในต่างประเทศก็มีโมเดล Pay Per Post ที่จ่ายให้เมื่อคุณเขียนบล็อกแนะนำสินค้าให้เขา แต่สำหรับการขาย Backlink คงจะเป็นเรื่องค่อนข้างใหม่สำหรับคนเขียนบล็อกชาวไทย

ปัจจัยที่จะทำให้บล็อกของคุณมีค่าสำหรับผู้ที่ต้องการซื้อ Backlink ก็คือเนื้อหาในบล็อกถูกเขียนขึ้นมาด้วยตัวเอง ไม่ไปลอกคนอื่นมา เพราะ Google จับได้ว่าใครลอกใคร มีเนื้อหาที่เป็นตัวอักษรจำนวนมากพอสมควรเพื่อให้มีคีย์เวิร์ดที่ Search Engine นำไปใช้พิจารณาได้ว่าบล็อกของคุณมีความสัมพันธ์กับเว็บที่ทำลิงก์ไปหาแค่ไหน และมี PageRank อยู่บ้าง อาจจะไม่ต้องมากนักก็ได้

ถ้าพิจารณาจากปัจจัยเหล่านี้แล้ว จะพบว่าบล็อกผมมีครบทุกอย่างครับ บริษัท SEO ของไทยรายไหนสนใจจะซื้อ Backlink จากบล็อกผมบ้างมั้ยครับ? 55555

ขอขอบคุณ
http://blog.macroart.net/2008/06/backlink-selling-earning-for-blogger.html

เทคนิคการทำโฆษณาหาสินค้าและคีร์เวิร์ดที่ขายได้ภายใน10คลิก[Amzon]

Credit - Tavee -Thaisem(พี่พราณ)

เริ่มเลยนะครับ

ขั้นตอนง่ายๆสำหรับการทำเงินแล้วได้ผลภายใน 10 คลิก [ เหมาะกับคนที่เคยทำมาบ้าง]

เข้าไปที่หน้าสินค้า amazon ครับ แล้วให้คลิกที่คำว่า shop all departments ข้างบนมุมช้ายมือครับ แล้วให้เลือกสินค้าที่ต้องการขาย ที่ขายดีจะเป็นพวก Books, Electronics, Apparel, toys & games

furniture ครับ แล้วคลิกเลือกสินค้าที่ต้องการครับ เช่น เลือก gps ครับ คลิกเข้าไป หลังจากนั้นก็ให้คลิกที่

คำว่า GO มุมขวาบนวงกลมสีส้มเลยครับ เราก็จะเจอสินค้ามากมาย แล้วให้คลิกที่ช่องขวามือตรงที่ Sort by

แล้วให้เลือก Bestselling หมายถึง สินค้าขายดี

ขั้นตอนต่อไปให้เลือกราคาซ้ายมือ ระหว่าง $200-499 เพราะเป็นช่วงที่คนจะตัดสินใจที่จะซื้อครับ

ต่อไปก็เลือกสินค้าที่จะขาย ให้เลือกระหว่างอันดับ 1-4 ประมาณนั้น แล้วคลิกเข้าไปเลยครับ เอาอย่างใดอย่างหนึ่ง

แล้วคุณจะเจอสินค้าที่ต้องการขาย

ทีนี้มาดูข้อดีข้อเสียว่าสินค้าที่เราเลือกน่าจะขายได้ใหมลองวิเคราะห์ดู

วิธีการวิเคราะห์คือ

1.สินค้ามีคำว่า FREE with Super Saver Shipping ไหม

2.มีคนให้ดาวเยอะไหม เกิน 30 ใช้ได้ครับ

3.มีลดราคาใหม กี่เปอร์เซ็นต์ ราคาถูกหรือแพง

4.สินค้าเป็นที่นิยมหรือเปล่า เป็นที่ต้องการของตลาดไหม สินค้าใหม่หรือเก่า โปรโมชั่นลดล้างสต็อก

ขอแค่มี ราคา ถูกส่งฟรี ลดราคา แค่นี้ก็ใช้ได้แล้วครับ แต่ยังไม่พอ

เอา คีเวิร์ดไป search ใน google ว่ามีคนค้นหาเยอะไหมแนวโน้มเป็นอย่างไร ให้พิมพ์คำว่า adwords.google ลงในwww.google.com ก็ได้ครับแล้วเลือกที่ Keyword Tool แล้วใส่คีเวิร์ดเข้าไปตรงช่องสี่เหลี่ยมครับเช่นคีเวิร์ดนี้ sumsung lcdtv 40 เราสามารถดูค่าบิดแนวโน้มต่างต่างได้ดีมากๆนะครับผมก็ใช้ประจำและได้ผลแทบ ทุกครั้งลองดูนะครับ คลิกเลือกประเทศด้วยนะครับ เป็น USA แล้วเลือกดูเอาตามชอบครับผมจะไม่อธิบายมาก

ถ้าบิดไม่แพงมากเป็นใช้ได้ครับ

ทีนี้มาดูคู่แข่งว่าของที่เราจะขายแพงกว่าของเขาหรือเปล่าถ้าแพงกว่าแพงกว่าแค่ไหนแพงกว่ามากก็ไม่ควรขายนะ

ครับ ถ้าแพงกว่านิดหน่อยไม่เป็นไรเพราะสินค้าของอเมซอนถึงแพงกว่าบ้างแต่คนก็ตัดสินใจซื้อครับ

ต่อไป เอาคีร์เวิร์ดของสินค้าที่เราจะขายไปเชิรต์ดูที่

โค๊ด:
www.google.com/products



จะ มีราคาโชว์สินค้าให้ดูถ้าราคาของเราแพงกว่าแต่แพงกว่าไม่มาก[คือสินค้ารุ่น เดียวกัน] เป็นอันว่าใช้ได้ครับ ขายได้ ถ้าราคาถูกกว่าคุ่แข่งละแจ๋วเลย



หรือถ้ายังไม่พอลองเข้าไปดูอีกเว็บก็ได้ครับ

โค๊ด:
www.ebay.com

ดูเขาขายกันประมาณเท่าไร

ถ้าใช้ได้แล้วก็ขั้นตอนต่อไปตอนนี้สำคัญมากๆๆๆนะครับ

คือ การหาคีร์เวิร์ดง่ายๆไม่เสียเวลา

เช่นเราขาย sumsung lcdtv
เราอาจใส่คำนี้ไว้ข้างหน้าก็ได้ครับเช่น
cheap
lower price
low price
buy
buying
bought
order
good
new
เป็นต้น{ ตามสินค้าเราถ้าสินค้าเราราคาแพง ก็ไม่ควรนำ คำว่า cheap , lower price เป็นต้น มาใช้นะครับ
ถ้าไม่ใช่สินค้าใหม่ก็ new ไม่ควรนำมาใส่ในคีร์เวิร์ด คงเข้าใจนะครับ}
สินค้าเรามีทั้งราคาถู ดี และใหม่ เราก็ใส่ว่า
เช่น
new sumsung lcdtv
Buy sumsung lcdtv
cheap sumsung lcdtv
low price sumsung lcdtv
buying sumsung lcdtv

ถ้า
sumsung lcdtv 40 นิ้วเราก็ใส่ให้เจาะจงเข้าไปอีกว่า
buy sumsung lcdtv 40
buying sumsung lcdtv 40
new sumsung lcdtv 40
good sumsung lcdtv 40

ยิ่งเจาะจงเท่าไรก็เท่ากับว่าเราเจาะจงลูกค้ามากขึ้นเพราะจะทำให้ขายได้ดีครับ
หรือจะใส่คำตามหลังก็ได้
เช่นคำเหล่านี่

price
on sale
sale
salling
online
shop
shopping
เป็นต้น
เช่น
sumsung lcdtv 40 online
sumsung lcdtv 40 sale
sumsung lcdtv 40 on sale
sumsung lcdtv 40 shop
sumsung lcdtv 40 shopping
sumsung 40 online
buy sumsung lcdtv 40
buying sumsung lcdtv 40
แต่ละคีร์เวิร์ดไม่ควรยาวเกิน 5 นะครับ ถ้าจะให้ดีประมาณ 3-4 จะสวยมาก
เป็นต้นนะครับหาให้ได้ประมาณ สัก50-100 คีร์เวิร์ดนะครับเอาที่คิดว่าตรงกับสินค้าของเรามากที่สุด
ถ้าได้ 100 คีเวิร์ด ก็ทำ 2 adgroup นะครับ
ทีนี้เขียนข้อความสัก 3 ข้อความ

เช่น
sumsung lcdtv 40 Inch-low price

in stock 47%Off Buy it Now! Free shipping

ประมาณนี้ เขียนข้อดีของสินค้าของเราที่ดูเด่นดีกว่าคนอื่นนะครับออกมา

สำคัญมาก คีร์เวิร์ด ข้อความโฆษณา แลนดิ้งเผด ต้องให้สัมพันธ์กันมากๆนะครับ

มาถึงขั้นตอนการโฆษณาผมโฆษณากับ yahoo นะครับใครที่ทำกับ ppc อื่นก็นำไปใช้ได้

ใส่คีร์เวิร์ด และข้อความโฆษณาเข้าไป

และให้ตั้งค่าบิดให้ต่ำที่สุดก่อน

เช่น ใน yahoo เริ่มต้นที่$ 0.10


เราก็ใส่จำนวนนี้ไปได้เลยและต้องวัดผลทุกประมาณ30 นาที ถ้ายังไม่มีการแสดงผลเราค่อยๆเพิ่มบิดขึ้นทีละนิดๆจน

กว่าจะแสดงผลแต่การตั้งค่าบิดนั้นต้องไม่ทำให้เราขาดทุนนะครับ

เราอาจเพิ่มค่าบิด0.01-0.05 ก็ได้นะครับตามชอบ


ทำไปเรื่อยๆทุก 30 นาที ช่วงแรกต้องดูบ่อยหน่อย เพิ่มบิดเรื่อยๆจนกว่าจะแสดงผล

เช่น เราตั้งค่าบิดกับสินค้านี้ได้ไม่เกิน 0.50 เราก็ควรบิดไม่เกินนี้

ผมก็ทำอย่างนี้ไม่นานครับ impression ของเราก็จะเริ่มแสดงและมีคลิกตามมาแล้วอันดับของเราก็จะแสดงให้ดูด้วย

ว่าเราอยู่อันดับเท่าไรถ้าอันดับไกลเกินไปก็ควรเพิ่มบิดขึ้นมาอีกนิดให้อยู่ประมาณอันดับ 4-6 เพราะจะทำให้เราไม่

ต้องเสียเงินมากโอกาศที่คนจะคลิกก็มีพอสมควรเหมือนกัน หรือใครจะบิดให้อยู่อันดับ 1-3 เลยยิ่งดีเพราะจะทำให้

คลิกมากขึ้นแต่ต้องเสียแพงหน่อย อันดับ 4-6 ก็มีคนซื้อเหมือนกันและได้กำไรเยอะด้วยส่วนมากผมจะเริ่มขายได้

ประมาณ 10 คลิกก็ขายได้แล้วครับ บางวันขายได้เยอะกว่าคลิกอีก ฟรุ๊กหรือเปล่าก็ไม่ทราบอิอิ

และการคลิกก็จะทำให้เรารู้ว่าคลิก 1 เราเสียประมาณเท่าไร ส่วนมากจะเสียน้อยกว่าที่เราตั้งไว้อยู่แล้วครับ เช่นตั้งไว้

ที่ $0.50 เราอาจเสีย 0.49-0.20 ก็ได้ครับ อยู่ที่คุณภาพของโฆษณา Quality index มากเท่าไรยิ่งดีจะทำ

ให้เสียค่าโฆษณาน้องลงครับอิอิ

ถ้าตัวไหนไม่ดีก็ปรับปรุงต่อไป

ส่วนคีเวิร์ดไหนที่เราตั้งค่าบิดจนพอใจและแต่ไม่แสดงก็ลบออกให้หมดทีนี้ก็จะเหลือแต่คีร์เวิร์ดที่แสดง

คีเวิร์ดไหนมี impression มากก็ควรลบออก หรือเขียนข้อความโฆษณาสำหรับคีร์เวิร์ดนี้โดยเฉพาะก็ได้

ถ้าประมาณ 10-20คลิกแล้วเข้าไปดูใน อเมซอนมีคนซื้อ 1 หรือ 2 คน ก็นำแต่ละคีร์เวิร์ดแต่ละตัวมาแทรกดูว่าคีร์เวิร์ดไหนทำเงินบ้าง

เพราะถ้าเอาคีร์เวิร์ดที่ไม่ทำเงินมารวมกันก็จะทำให้เราได้กำไรน้อย

เรา ทำไปเรื่อย ๆครับ ใจเย็นๆทำไปเรื่อยๆสุดท้ายก็จะเหลือคีร์เวิร์ดเดียวใน 1 แอดกรูปที่ทำเงินให้เราอย่างเป็นกอบเป็นกำเลยทีเดียวนี่พูดถึงสินค้าชิ้น เดียวนะครับ

แต่ต้องดูแลนะครับอย่าพึ่งไปหาสินค้าใหม่มาทำส่วนมากผมจะดูที่ 25-30คลิกถ้ายังไม่มีคนซื้อก็จะเลิกขายทันทีหาสินค้าใหม่มาทำ

ถ้าเราดูสินค้าดีแล้ว โอกาสที่จะขายได้ก็มีสูงทีนี้เงินก็จะวิ่งเข้ากระเป๋าของเราทุกวันๆโดยอัตโนมัติครับ

เอาวันหน้าผมมีไอเดียเจ๋งๆใหม่ๆจะเอามาฝากเพื่อนๆอีกนะครับ

สู้สู้ครับๆๆๆๆทุกคน


-------------------------


ผม ว่าเจ๋งมากทีเดียว เป็นการนำความรู้จากหลายๆที่มารวมๆกัน ทำให้เกิดเป็นRoadmapดีๆแบบนี้ เป็นการเล่นกำไรระยะสั้น แต่ผมไม่ชอบด้านนี้ผมชอบระยะยาวผมจะนำมาผนวกกับการทำSeoแทนการใช้ppc ของคุณทวีเขาใช้PPC ของYahoo แต่ผมจะใช้ความรู้ในTSBในการกินกำไรระยะยาวไปเรื่อย ใช้การหาMass keywordของพี่Arisam หาNiche Keyword หาข้อมูลตลาด ของผมไปเรื่อยๆ สู้ๆกันทุกคนครับ~~*

ref : http://www.thaiseoboard.com/index.php/topic,28755.0.html

หาเงินด้วยการแจกไฟล์ (โปรแกรม,เกมส์,รูป,คลิป,เพลง) ในเครื่องของคุณ

หาเงินด้วยการแจกไฟล์ (โปรแกรม,เกมส์,รูป,คลิป,เพลง) ในเครื่องของคุณ แล้วเอาเงินไปใช้กันดีกว่า

สร้าง รายได้ด้วย Ziddu.com (ซิดดู)

การทำงานกับเว็ป Upload File แล้วได้เงิน

หลักการ ก็คือ เราอัพโหลดไฟล์ (โปรแกรม,เกมส์,รูป,คลิป,เพลง) แล้วเอาลิงค์ดาวโหลดไฟล์ไปโพสต์ทิ้งไว้ตามเว็ปบอร์ดต่าง ๆ / จะส่งทางอีเมล์ / ผ่าน Face Book ฯลฯ เมื่อมีคนมาดาวน์โหลดไฟล์ของคุณ เราก็จะได้เงินเป็นค่าตอบแทน ยอดเงินก็จะขึ้นอัตโนมัตทุกวัน วัน ๆ นึงสามารถสร้างรายได้ได้อย่างไม่จำกัด ไม่เหมือนเว็ปคลิกที่มานั่งคลิกเป็นรายวัน ทำครั้งเดียวได้ผลในระยะยาว แม้ไม่อัพไฟล์ รายได้ก็ยังมีมาเรื่อย ๆ

ข้อดีของ Ziddu เมื่อเทียบกับ EasyShare.com

1. ไม่มีเวลานับถอยหลังในการดาวน์โหลดไฟล์ ดาวโหลดได้ทันทีเลย ใส่แต่รหัสป้องกันเหมือนทุกเว็บ และหน้าตาใช้งานด้วย ไม่หมกลิงค์ ซ่อนลิงค์

2. Ziddu ให้เราอัพโหลดไฟล์ได้ขนาดสูงสุดถึงไฟล์ละ 200 MB (204,800KB) แต่ easy share ให้เราอัพโหลดได้สูงสุดเพียงไฟล์ละ 100MB เท่านั้น

3.ในกรณีที่ไฟล์เป็นรูปภาพ คลิปวีดีโอ หรือ ไฟล์เพลง Ziddu ก็จะแสดงเป็นภาพตัวอย่างให้ดูในหน้าดาวน์โหลด และจะนับเป็น 1 download เมื่อมีผู้คลิกเข้าไปดูภาพใหญ่ กดเล่นคลิปวีดีโอ หรือ กดฟังเพลงด้วย (มันยอดมั๊ยล่ะ!)

4. Ziddu จะมีออพชั่นให้เราเลือกส่งลิ้งค์ของไฟล์ที่อัพโหลดไปทาง e-mail ได้ทันที แต่ easy share จะไม่มี

5. ไฟล์ที่อัพโหลดไว้กับ Ziddu จะถูกเก็บได้นานถึง 90 วันเมื่อไม่มีผู้ดาวน์โหลด แต่ easy share จะเก็บได้แค่เพียง 30 วัน เมื่อไม่มีผู้ดาวน์โหลด

6. การยื่นขอรับเงินค่าตอบแทนใน Ziddu จะสามารถทำได้ทันทีเมื่อทำยอดได้ถึงหรือมากกว่า $10 ซึ่งต่างกับ easy share ที่บังคับให้เราทำยอดดาวน์โหลดให้ถึง 15,000 ครั้งก่อน เพื่อยกระดับเป็น Premium Account จึงจะสามารถขอรับเงินค่าตอบแทนได้

ข้อเสียของ Ziddu เมื่อเทียบกับ easyshare
1. การนับจำนวนดาวน์โหลดไฟล์ จะนับจาก Unique Download (ผู้ดาวน์โหลดที่ไม่ซ้ำ IP Address ต่อวัน / ไฟล์) ซึ่งต่างกับ easy share ที่นับจำนวนผู้ดาวน์โหลดคนเดิมในวันเดียวกันด้วย (แน่นอนว่า เพื่อน ๆ สามารถดาวน์โหลดไฟล์ของตัวเอง เพื่อทำเงินให้ตัวเองได้ …แต่ระวังเมื่อยมือนะ)

2. เนื่องจากกฎการจ่ายเงิน ใหม่ของ Ziddu (ออก ณ วันที่ 24/12/50) ที่ให้เราต้องเสียเวลารอนานถึง 40 วันกว่า ที่จะได้รับรายได้ในแต่ละครั้ง (เช่น ยื่นขอค่าตอบแทนในเดือนมกราคม จะได้รับเงินในเดือนมีนาคม) ซึ่งข้อนี้จะเสียเปรียบ easy share ที่จะขอรับเงินได้ทุกวันที่ 15 ของเดือนครับ

อื่น ๆ เกี่ยวกับ Ziddu
1.อัพโหลดไฟล์ได้ไม่จำกัด จำนวน
2.รับค่าตอบแทน $10 เมื่อมีผู้ดาวน์โหลดไฟล์ครบ 10000 ครั้ง (เท่ากับ Easy Share)
3.จ่ายค่าตอบแทนผ่าน Paypal
4.จ่ายหลังจากยอดเงินเราครบ 10$ ประมาณ 40 วันทำการ
รายชื่อเว็บบอร์ดเพื่อนำลิงค์ของเราไป โพสต์ - > คลิกที่นี่


วิธีสมัคร Ziddu

1. คุณต้องคลิกที่แบนเนอร์ด้านล่างนี้เพื่อทำการสมัครเท่านั้นนะครับ



คลิกสมัครสมาชิกที่นี่

2. มองหารูปธงชาติไทยอยู่้ด้านบน ๆ ของเว็บไซต์ แล้วคลิ๊กเพื่อเปลี่ยนเป็นภาษาไทย จะได้เข้าใจได้ง่ายขึ้น

2. เมื่อเข้ามาแล้ว ก็ให้กรอกข้อมูลในการสมัครสมาชิกครับ (e-mail ต้องเป็นอีเมล์ที่ใช้ได้จริงครับ)

3. เมื่อลงทะเบียนสมาชิกเสร็จแล้ว ก็ให้คลิก Please Click here to log in to your account เพื่อกลับไปหน้าล็อกอินครับ

4. ในหน้าล็อคอินให้ใส่ชื่อและรหัสผ่านที่ใช้สมัคร และ คลิก Login เพื่อเข้าสู่ระบบครับ

5. เมื่อล็อกอินเข้ามายังหน้าสมาชิกแล้ว อันดับแรกก็ให้เพื่อนๆไปที่เมนู Settings > Payment Settings เพื่อตั้งค่าการรับเงินเสียก่อน

6. ในช่อง Payment Details ให้เลือก Payment Method เป็น Paypal และใส่ชื่อบัญชี Paypal ของเราลงในช่องด้านล่าง เสร็จแล้วก็คลิก Update ครับ (ถ้ายังไม่มีบัญชี PayPal ก็อ่านการสมัครได้ที่ลิงค์นี้ -> )

เท่านี้ก็เป็นอันเสร็จขั้นตอนการสมัคร Ziddu แล้วล่ะครับ ต่อไปเราจะมาดูวิธีอัพโหลดและแชร์ไฟล์เพื่อสร้างรายได้กันครับ



วิธีอัพโหลดและแชร์ไฟล์ด้วย Ziddu

1. ให้เข้าไปที่เมนู MyFiles > Upload File ก่อนครับ

2. ในหน้า Upload File เพื่อนจะเห็นช่องสำหรับอัพโหลดไฟล์อยู่ตรงกลางหน้า ให้ทำการ Browse ไปหาไฟล์ที่ต้องการจะอัพโหลด และคลิก Upload เมื่อต้องการอัพโหลดครับ

สำหรับเพื่อนๆ ที่ต้องการอัพโหลดไฟล์มากกว่า 1 ไฟล์ในเวลาเดียวกัน ก็ให้ใช้คำสั่ง Multiple Files Upload ด้านล่างของช่องอัพโหลด ซึ่งเมื่อคลิกคำสั่งนี้แล้ว ก็จะมีช่องอัพโหลดเพิ่มขึ้นมาเป็น 4 อันครับ

3. เมื่ออัพโหลดไฟล์เรียบร้อยแล้ว เพื่อนๆก็จะมีทางเลือก 2 ทางคือ ส่งลิ้งค์ของไฟล์นั้นไปยังอีเมล์ของผู้อื่น (สามารถส่งได้มากกว่า 1 คนในเวลาเดียวกัน) หรือนำลิ้งค์สำหรับดาวน์โหลดไฟล์ดังกล่าว ไปแจกให้ผู้อื่นดาวน์โหลดนั่นเอง



วิธีการรับเงินรายได้จาก Ziddu
1. รายได้จากการมีคนดาวโหลดไฟล์ของคุณ

คุณสามารถสร้างรายได้เมื่อมีผู้ดาวน์โหลดไฟล์ของคุณ สำหรับการดาวน์โหลดเฉพาะรายการแต่ละครั้ง คุณจะได้รับเงิน 0.001 เหรียญ เงินที่แลกแล้วสามารถโอนผ่าน PayPal หรือ MoneyBookers หลังจากได้ยอดถึง 10 เหรียญ.

ดาวน์โหลดเฉพาะรายการ 10,000 ครั้ง: 10 เหรียญ
ดาวน์ โหลดเฉพาะรายการ 50,000 ครั้ง: 50 เหรียญ
ดาวน์โหลดเฉพาะรายการ 100,000 ครั้ง: 100 เหรียญ
ดาวน์โหลดเฉพาะรายการ 500,000 ครั้ง: 500 เหรียญ
ดาวน์ โหลดเฉพาะรายการ 1,000,000 ครั้ง: 1000 เหรียญ (มีคนทำมาได้แล้วเป็นร้อยคนนะ)

Ziddu เว็บนี้สั่งจ่ายอัตโนมัติเข้าบัญชีเพล์พาล์ขั้นต่ำ 10.00$ นะครับ ทุกสิ้นเดือน นับวันที่ได้รับเกิน 10 เหรียญไปอีก 60 วัน เช่น คุณได้ 10 เหรียญวันที่ 15 มกราคม ก็ให้นับไปอีก 60 วัน ไปตกวันที่ 15 มีนาคม คุณจะได้รับเงินเข้าบัญชี Paypal โดยอัตโนมัติวันที่ 31 มีนาคม


2. รายได้จากการที่คุณแนะนำเพื่อน

จะได้รับโบนัส 0.05 เหรียญ เมื่อมีผู้สมัครใหม่ใน Ziddu ผ่านลิงค์ที่คุณแนะนำและ เขาต้องทำการแจกไฟล์ด้วยนะครับ ! (สมัครต่อจากคุณ แต่ไม่ทำการแจกไฟล์ก็ไม่ได้ครับ)


การเช็คยอดเงินค่าตอบแทนจาก Ziddu
เพื่อน ๆ สามารถเช็คค่าตอบแทนที่ได้ด้วยการเข้าไปที่เมนู My Earnings ซึ่งในหน้านี้จะมีตารางสำหรับเช็คค่าตอบแทนแบบไฟล์ต่อไฟล์ให้เราดูครับ

ที่มา
ร้านนายแทม