วันพฤหัสบดีที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2553

75 เคล็ดลับ โปรโมท Blog ให้ดัง

มาดู 75 เคล็ดลับ โปรโมท Blog ให้ดัง !!!
พอดีไปเจอมา อ่านแล้วใช้ได้เลยทีเดียว ลองทำตามดูนะครับ มีประโยชน์มากๆเลย บางข้อผมก็ไม่เคยทำเลย

1. ถ้าคุณเพิ่งทำเวบใหม่สดๆเลย ก็เขียนบทความอะไรซักหน่อย แล้วไปส่งที่ Digg, Reddit, และ Now Public
2. สร้าง Yahoo Group เกี่ยวกับเรื่องของเวบเรา
3. สมัคร MySpace แล้วใช้มันช่วยโปรโมท
4. บุ๊คมาร์คเวบเราที่ Del.icio.us และถ้าคุณมีกึ๋นซักหน่อยนะ ก็ใส่ปุ่ม Del.icio.us ไว้ในเวบของคุณด้วย
5. สมัคร Technorati แล้วก็ “claim” Blog ของคุณซะ (อย่าลืมใส่ปุ่ม ไว้ที่เวบ)
6. submit เวบของคุณที่ directories ที่เป็น seach engine friendly แบบฟรีๆ ก็มีเยอะแยะ เช่น Info Vilesilencer
7. ทำแบบสำรวจ นี่เป็นวิธีที่ดีที่จะโปรโมทแบบ offline (มีใครเคยทำมั้ยง่ะ – -a)
8. ไปลงโฆษณาฟรีสำหรับบริษัทของคุณที่ Gumtree
9. ใช้ RSS feeds
10. submit RSS feeds ของเราตาม FeedBurner, Squidoo, Feedboy, Jordomedia, FeedBomb, FeedCat, rssmad, feedirectory, และ Feedboy
11. เขียนบทความที่เกี่ยวกับเวบของคุณ แล้วส่งไปตาม article sites
12. สมัคร StumbleUpon แล้วเรียกเพื่อนๆมาช่วย Stumble
13. สร้างหน้า 404 ของตัวเองไว้ เผื่อว่าคนเข้ามาเจอ error ก็จะ redirect ไปที่อื่นๆที่ดีๆ
14. สร้าง 301 redirect เพื่อจะ redicrect traffic ของคุณจาก non-www มาที่ www ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ ที่นี่
15. ใส่ลิ้งของเวบคุณไว้ใน signature ของเวบบอร์ดที่คุณเป็นสมาชิก
16. บอกเพื่อนๆเกี่ยวกับเวบของคุณ (มันเป็นหารโฆษณาฟรีๆน่ะ)
17. ตรวจคำผิดในเวบของคุณด้วย!
18. เช็คเวบของคุณ browser หลายๆอัน
19. ซื้อโฮสต์ที่ดีพอ ไม่มีใครชอบเวบที่เป็นเต่าคลาน
20. ไม่ต้องกังวลกับ PageRank ไปหาทางโปรโมทดีกว่านะ เดี๋ยว PageRank มันก็ดีตามเอง
21. แจกของฟรี !! คนส่วนมากจะบอกต่อ เมื่อมีของฟรี
22. บอกเพื่อนบ้านของคุณ (- -a)
23. บอกวิธีที่จะติดต่อคุณให้มากที่สุด msn email yahoo skype เบอร์โทร ที่อยู่
24. ลงโฆษณากับ Craigslist มันฟรี และก็ดีใช้ได้
25. อย่าใช้ Frames
26. Submit เวบที่ DMOZ.org มันอาจจะต้องใช้เวลาซักหน่อย แต่ก็คุ้ม
27. สร้าง Site Map ให้กับเวบของคุณ แล้วส่งให้ Google
28. ทำเสื้อขึ้นสกรีน URL เวบคุณลงไป แล้วก้ใส่มันบ่อยๆด้วย (อืม..คิดได้เนอะ – -”)
29. เอาไปให้สาวสวยหุ่นเร้าใจใส่ด้วยซักตัว *-*
30. สมัคร Affiliate program เพื่อขายสินค้าของคุณ หรือว่าถ้าคุณเป็น Publisher ก็โกยเงินกัน!!
31. ในหน้า contact ถามด้วยว่า คุณสนใจจะรับ Newsletter มั้ย
32. ส่ง Newsletter !!
33. เข้าร่วมสัมมนาคนทำเวบ คุณอาจจะเรียนรู้อะไรใหม่ๆก็ได้
34. หา Blog ดีๆ ดังๆ แล้วก็ไปตอบคอมเม้นไว้ (ใส่ลิ้งเวบคุณด้วยล่ะ)
35. อย่าจ้างคนให้ submit search engines ให้ เสียตังค์เปล่าๆ เพราะอันที่ดังๆมีแค่ Google 50% Yahoo 25% และ MSN 10%
36. ส่งคลิบเข้าพร้อมกับชื่อเวบคุณในคลิบ ที่ YouTube กับ Google Video
37. แจกฟรี e-book แล้วเวบคุณจะเป็นที่ฮือฮา
38. แจก Wordpress Theme, Blogger Theme, หรือ phpLD themes
39. ถ้าคุณขายของที่มีโฆษณาในทีวี เขียนในเวบคุณด้วยว่า “แบบที่เห็นในทีวี”
40. หลีกเลี่ยงเทคโนโลยีที่ไฮโซเกิน เช่น Java หรือ Active x
41. แจกของให้โหลดได้ ระวังลิขสิทธิ์ด้วย
42. เรียนรู้ CSS
43. ตอบคอมเม้น ยิ่งถ้าเป็น Blog ตอบบ่อยๆ
44. ขอให้เวบอื่น หรือ Blogger คนอื่นๆ ช่วย review เวบคุณ หรือว่า สินค้าก็ได้ (แลกกัน review ก็ดี)
45. ใช้ชื่อ page ที่มีความหมาย ไม่ใช่ www.yourdomain.com/pgInfoPages.cfm?cx=50799399822B393BBF95289295A3A10A4FD4F64E511ACB0E020C9048CFE3AEDAF8DD9D
46. ถ้าคุณจำเป็นจะต้องมี Flash ที่หน้าแรก อย่าลืมใส่ปุ่ม skip ด้วย
47. บอกหนังสือพิมพ์ท้องถิ่น หรือ วารสารประจำโรงเรียนเกี่ยวกับเวบของคุณ บางทีถ้าเค้าไม่มีเรื่องจะเขียน หน้าของคุณอาจจะไปโผล่ในนั้นก็ได้
48. จงดังในหมู่คนที่เขียนเรื่องเดียวกัน
49. บริจาคเพื่อการกุศล แล้วส่วนมากเค้าจะใส่ลิ้งแบคให้คุณ
50. ปฏิบัติตามกฏของ W3C standards มันจะช่วยให้คุณอยู่รอดได้ในระยะยาว
51. ทีมกีฬาในโรงเรียน หรือในชุมชน ให้โอกาสคุณเป็น sponsors ในราคาถูกและดี
52. โปรโมทเวบตามบอร์ดต่างๆ แต่อย่าสแปม
53. ขอให้ Blogger เขียนเกี่ยวกับเวบของคุณ โดยแลกกับลิ้งแบค
54. จัดการประกวดแข่งขันขึ้นมาในเวบ
55. ใส่ปุ่ม “ส่งต่อให้เพื่อน”
56. มี site map ในเวบของคุณ เพื่อช่วยผู้เข้าชม และsearch engine
57. ตั้งชื่อที่มีคีย์เวิร์ดตรงๆ ทั้งผู้อ่านและ search engine ชอบ
58. ใส่ปุ่ม FeedBurner ในเวบด้วย คนอ่านจะได้สมัครได้ง่ายๆ
59. Adwords เป็นทางเลือกที่ดี ถ้าคุณใช้มันเป็น
60. ใส่ About Me ใน Blog ผู้อ่านจะรู้สึกว่ามี’คน’ที่กำลังสื่อสารกับเค้า
61. สร้างหน้าเวบ แบนเนอ และโลโก้ไว้บนเวบ เพื่อว่าใครจะเอาไปตีพิมพ์ หรือเอาไปแปะในเวบ
62. ใส่ลิ้งมาที่เวบคุณจาก ebay profile
63. ขอให้เพื่อนของคุณช่วยวิจารณ์เวบแบบตรงๆ
64. E-books ที่มี reseller rights เป็นของแจกที่ดีอย่างนึงสำหรับเวบคุณ
65. submit รูปที่ Flikr
66. แชร์ banner ที่ เวบแลกเปลี่ยน banner
67. ตอบอีเมลล์ของลูกค้าให้เร็ว ไม่มีใครชอบรอ 3-4 วันกว่าจะได้รับคำตอบ
68. Keep It Simple Stupid (KISS) ใช้ CSS ในการวาง layout และ html text อย่าลวดลายมาก
69. อย่าใส่รูปเยอะมากจนเกินไป จะทำให้โหลดช้า
70. ถ้าคุณคิดว่าจะ submit เยอะมากๆ สร้างเมลล์อันใหม่มาเพื่อการนี้ แล้วทิ้งมันไปซะเพื่อลดการ สแปม
71. ใส่ Favicon ให้เวบคุณ จะได้โดดเด่นเวลา Bookmark
72. เข้า Yahoo answer แล้วตอบคำถาม พร้อมกับใส่เวบของคุณเปน source
73. อย่าซื้อ traffic มันจะมาแค่วูบเดียว แล้วจากไป
74. ทำความรู้จักกับคนที่อยู่ในวงการเดียวกัน เข้า community เป็นต้น
75. เขียนบทความที่จะมีคนอยากลิ้งถึงมากๆ เช่น บทความนี้ไง

ที่มา: http://www.thaiseoboard.com

วันพุธที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2553

HYIP คืออะไร ???

HYIP คืออะไร ???

HYIP ย่อมาจาก High-Yield Investment Program

Hyip เป็นเว็บเกี่ยวกับด้านการลงทุน ประเภทรับฝากเงินจากสมาชิกโดยจะจ่ายดอกเบี้ยให้สมาชิกตามอัตราที่ทางเจ้าของเว็บผู้กำหนด ซึ่งแต่ละเว็บจะมีการกำหนดให้อัตราดอกเบี้ยของการลงทุนที่แตกต่างกัน

ในอดีต การเปิด HYIP มาจากการที่บุคคลใดคนหนึ่ง หรือกลุ่มคนใดกลุ่มหนึ่ง ต้องการนำเงินไปลงทุนจำนวนมาก แต่มีไม่เพียงพอ จึงเปิดการระดมทุนโดยการทำเว็บไซต์ประเภท HYIP ขึ้น เพื่อต้องการให้บุคคลอื่นนำเงินมาให้ลงทุน โดยมีผลตอบแทนโดยเจ้าของเว็บ HYIP จะให้ผลตอบแทนเป็นดอกเบี้ยคืนกับผู้ลงทุนทั้งหลาย ตามวันเวลาและจำนวนเงินที่ผู้ลงทุนต่างๆมาลงทุนด้วย โดยทางเจ้าของเว็บ HYIP เป็นผู้กำหนดเองโดยการตั้งเงื่อนไขของ ดอกเบี้ย และจำนวนวันเวลาในการรับลงทุน เป็นต้น....

ทั้งนี้ เว็บไซต์ Hyip ในปัจจุบันนี้ยังเป็นที่นิยมอยู่มาก แต่ทั้งนี้จะแตกต่างจากเมื่อก่อน ตรงที่ว่าปัจจุบัน การเปิดเว็บไซต์ HYIP จะเปรียบเสมือน MONEY GAME ONLINE มากกว่า คือเป็นการลงทุนจากค่าตัวเงินไซเบอร์ คือเป็นค่าตัวเงินที่ไม่สามารถนำมาใช้ได้จริงในชีวิตประจำวัน (เช่น E-Gold, E-bullion, E-point, LibertyReserve, Alertpay, Moneybooker เป็นต้น)

นอกเสียจากเกิดการแลกเปลี่ยนกันเองระหว่าง บุคคลต่อบุคคล โดยการซื้อขายจากเงินบาท เงินดอลล่าร์ จริงๆ ทำให้เป็นที่ได้รับความนิยมจากผู้ที่กระหายเล่น เสี่ยงโชค เสี่ยงดวง

ซึ่งในความเป็นจริง ในปัจจุบันนี้ เว็บ HYIP จะมีอายุของการเปิดการลงทุนอยู่ไม่นาน บางเว็บไซต์เปิดให้ลงทุนอยู่แค่วันเดียวก็ปิดการลงทุนโดยที่ไม่มีการจ่ายผลตอบแทนคืนสมาชิก แต่คนก็ยังนิยมเล่น Hyip กันอยู่โดยอาศัยจังหวะและโอกาสตอนที่เว็บเปิดใหม่ๆ ทำกำไรแต่ก็มีไม่น้อยที่ขาดทุน

ลักษณะการให้เปอร์เซ็นต์ของ Hyip
Hyip ส่วนมากจะกำหนดเปอร์เซ็นต์การจ่ายออกเป็น 2 ลักษณะ คือ
- แบบรายวัน (daily) ลักษณะนี้เว็บจะคำนวณเงินให้เราเป็นรายวัน สามารถกดเบิกได้ทุกวัน ซึ่งจะสามารถกดเบิกได้กี่วันนั้นทางเว็บจะกำหนดไว้

- แบบเป็นรอบ (after N days) ลักษณะนี้เว็บจะคำนวณเงินให้เราเมื่อครบกำหนดรอบวันที่กำหนด ซึ่งจะกำหนดว่ารอบละกี่วัน เช่น N วันลักษณะนี้จะจ่ายครั้งเดียวเมื่อครบรอบวันที่กำหนด

การคำนวณเงินจาก Hyip ใน แผนต่างๆ

แผนแรก เป็นแบบ daily
- 50%-80% daily for 3 days หมายความว่าทางเว็บจะคำนวณเงินให้เราทุกวันเป็นจำนวน 50%-80% ของเงินทุนที่ลงเป็นเวลา 3 วัน ซึ่งจะได้เปอร์เซ็นต์เท่าไหร่นั้นขึ้นอยู่กับจำนวนเงินที่เราลงกับทางเว็บ ซึ่งจะได้%ตามเรทของเงินที่ลงดังที่แสดงไว้ เช่น สมมุติเราลงเงินจำนวน 10$ เมื่อเทียบกับ plan ของเว็บ จะเห็นได้ว่าอยู่ plan 1 ฉะนั้นเราจะได้เงินจากทางเว็บวันละ 50% ของ เงินลงทุนเป็นระยะเวลา 3 วัน รวม 150% ได้วันละ 50 % x 10$ = 5$ เป็นเวลา 3 วัน รวม 15$ ซึ่งเราสามารถกดเบิกได้ทุกวัน

แผนสอง เป็นแบบ after 3 days
- 180%-250% after 3 days หมายความว่าทางเว็บจะคำนวณเงินให้เราครั้งเดียวหลังจากครบ 3 วัน ซึ่งเปอร์เซ็นต์ที่ได้นั้นก็จะขึ้น อยู่กับจำนวนเงินที่ลง เช่น สมมุติเราลงเงินจำนวน 10$ เมื่อเทียบกับ plan ของเว็บ จะเห็นได้ว่าอยู่ plan 1 ฉะนั้นเราจะได้ เงินจากทางเว็บ 210% ของเงินลงทุนเมื่อครบ 3 วัน 210% x 10$ = 21$ สามารถกดเบิกได้หลังจากครบ 3 วัน

การสมัคร
- คลิก Signup เพื่อเข้าสู่หน้าสมัคร เพื่อกรอกข้อมูล
- เสร็จสิ้นการสมัครเราสามารถ login เข้า account ได้เลยทันที สำหรับเมนูต่างๆ ของ Hyip จะกล่าวแต่ที่สำคัญสำคัญนะครับ

Account แสดงรายละเอียดของบัญชีของเรา
Make Deposit สำหรับลงเงินกับทางเว็บ
Withdraw สำหรับกดเบิกเงิน
Withdrawals History ประวัติการจ่ายเงิน
Your Referrals แสดงรายละเอียดเกี่ยวกับดาวน์ไลน์ จำนวน , ค่าคอมมิชชั่น
Edit Account สำหรับเข้าไปแก้ไขรายละเอียด เช่น ชื่อ , password
- จากนั้นเข้าไปดูที่ Account จะเห็นได้ว่าเงินเข้า account แล้ว

การกดเบิก
- คลิกเมนู Withdraw
- เข้าไปดูที่ Withdrawals History
คอมมิชชั่น
แต่ละเว็บจะกำหนดเปอร์เซ็นต์คอมมิชชั่นจากได้ไลน์ไม่เหมือนกัน บางเว็บจะแบ่งเรทเปอร์เซ็นต์ตามจำนวนดาวน์ไลน์ บางเว็บก็ให้เปอร์เซ็นต์คอมมิชชั่นเรทเดียวกันโดยไม่ขึ้นอยู่กับจำนวนดาวน์ไลน์
แบบแบ่งตามจำนวนดาวน์ไลน์
แบบคอมมิชชั่นเปอร์เซ็นต์เดียวกันหมด

พึงระลึกไว้อยู่เสมอว่า Hyip (ส่วนมาก) เปิดมาเพื่อโกง ฉะนั้นผู้ที่จะลงทุนจะต้องยอมรับความเสี่ยง และใช้วิจารณญาณในการลงทุน

ที่มา :
rubsub.com ,
ptc.icphysics.com

วันอังคารที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2553

Social Media กับการหางาน

เลิกตกงานด้วยเฟสบุ๊ก

ประโยชน์ของเฟสบุ๊กไม่ได้อยู่ที่เกมสนุก-เมาท์สนั่นอย่างเดียว แต่สามารถช่วยให้คนตกงานพ้นจากวิกฤตวิจัยฝุ่นได้จริง ต่อไปนี้คือวิธีการที่คุณทุกคนจะสามารถทำตามเพื่อแปลงเครือข่ายสังคมทุกค่าย ให้เป็นเครื่องมือสำคัญในการหางานทำได้อย่างไม่ควรมองข้ามด้วยประการทั้งปวง

จากบทความเรื่อง Social Media กับการหางาน
โดย กานดา สุภาวศิน (Twitter: @pakada)

ในยุคปัจจุบันคงไม่มีใครไม่รู้จัก Social Media สื่ออันทรงพลังรูปแบบใหม่ที่ทำให้เกิดโอกาสในหลายๆ ทาง ทุกวงการล้วนแล้วแต่กระโดดเข้ามาใช้ Social Media ทั้งสิ้น เนื่องด้วยเหตุผลหลัก 2 ประการ คือ User Content Generated และ Influence of Referral

ประเด็นร้อนประเด็นฮิตที่จะพูดถึงในวันนี้ คือ Social Media ช่วยในการหางานได้จริงหรือ จากประเด็นนี้เลยขอแบ่งยุคและวิธีการหางานโดยแบ่งออกเป็น 3 ช่วงได้แก่

ช่วงที่1 การประกาศตำแหน่งงานด้วยสื่อสิ่งพิมพ์ (Print Media) ไม่ว่าจะเป็นหนังสือพิมพ์ หนังสือ/นิตยสารรายปักษ์ สื่อนี้เป็นที่นิยมอย่างแพร่หลายและถือเป็นสื่อพื้นฐานที่ คนหางาน กับ งานหาคนมาพบเจอกัน

ช่วงที่2 กำเนิดเว็บไซต์และสื่อออนไลน์ ยุคนี้เป็นยุคที่เกิดเว็บไซต์หางานต่าง ๆ ผุดขึ้นเป็นดอกเห็ด ตำแหน่งงานมากมายถูกประกาศผ่านทางเว็บไซต์ด้วยต้นทุนการประกาศที่ต่ำกว่า สื่อสิ่งพิมพ์อยู่มาก และมีผู้ค้นหาตำแหน่งงานและสมัครงานผ่านช่องทางออนไลน์กันมากขึ้น โดยแนวโน้มการใช้สื่อสิ่งพิมพ์ในการประกาศตำแหน่งงานมีจำนวนลดลงมาก หลายบริษัทที่รับประกาศตำแหน่งงานในสื่อสิ่งพิมพ์พยายามผันสื่อของตัวเองให้ อยู่ในรูปแบบออนไลน์กันมากขึ้น

ช่วงที่3 ยุค Web 2.0 จนถึงปัจจุบัน หลายท่านอาจจะคุ้นหูกับคำว่า Web 2.0 ไปแล้ว เรามาทบทวนกันอีกสักครั้งหนึ่งว่า Web 2.0 ประกอบไปด้วยอะไรบ้าง โดย O'Reilly Media ได้กล่าวถึง การให้บริการในรูปแบบ Web-based Generation ที่สองไว้ ดังนี้

Social networking sites เป็น เว็บไซต์ที่รวบรวมบรรดาผู้คนมากหน้าหลายตาที่พร้อมใจกันสร้างสรรค์/แชร์คอน เทนต์ ไม่ว่าจะเป็นการเล่าเรื่องผ่านตัวอักษร ภาพถ่าย ภาพวิดีโอ สื่อประสมต่างๆ จากเพื่อนสู่เพื่อน ตัวอย่างของไซต์ที่ฮอตฮิตในประเทศไทย ได้แก่ Facebook, Hi5, Youtube, LinkedIn

Wikis เป็นเว็บไซต์ที่อนุญาตให้ผู้เข้าเยี่ยมชมทุกคนมีสิทธิ์ในการเพิ่มเติม/แก้ไข /เปลี่ยนแปลงข้อมูลที่สามารถใช้งานร่วมกันได้เสมือนร่วมมือร่วมใจกันสร้าง สรรค์คอนเทนต์เพื่อใช้ประโยชน์ร่วมกัน ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดคือ Wikipedia

Communication tools เครื่องมือการติดต่อสื่อสารนี้รวมไปถึง อีเมล และยังขยายวงกว้างคลอบคลุมไปถึง RSS feed, podcasting, instant messaging, SMS, Blog หรือ แม้แต่ Twitter เอง

Folksonomies อนุกรมวิธานที่ผู้ใช้สร้างขึ้นเอง ซึ่งใช้ในการแบ่งหมวดหมู่และค้นคืน หน้าเว็บ รูปภาพ ตัวเชื่อมโยงเว็บ และ เนื้อหาบนเว็บอื่นๆ โดยใช้วิธีการติด Tag ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนคือ Social Bookmarking

ยุค Web 2.0 นี้จัดได้ว่าเป็นยุคที่ผู้ใช้งานเป็นศูนย์กลางในการสร้างสรรค์ และมีการนำมาแชร์และแลกเปลี่ยนประสบการณ์กันอย่างกว้างขวางและไม่จำกัด โดยหลายบริษัท องค์กร ได้มีการสร้างกลุ่ม/เครือข่ายของตนเองขึ้น เพื่อเป็นอีกช่องทางในการประชาสัมพันธ์ตำแหน่งงานที่เปิดรับสมัคร ทั้งนี้เพื่อหวังผลการบอกต่อ / แบ่งปัน / Retweet จากเพื่อนสู่เพื่อน ในแง่ของบุคคลที่ต้องการหางานก็เช่นกัน ได้มีการพยายามสร้างโปร์ไฟล์ หรือประวัติของตนเองขึ้นมาเพื่อบ่งบอกให้รู้ว่าตนเองต้องการสิ่งใดบ้าง

Social Media กับการหางาน เกี่ยวข้องกันได้อย่างไร ?

เป็นที่ทราบกันดีว่า คนส่วนใหญ่ที่ประสบความสำเร็จในการหางานนั้น ล้วนแล้วแต่เกิดจากการแนะนำเพื่อนบอกต่อเพื่อนเป็นส่วนใหญ่ (Referral) และจากสถิติ User Demographic ของกลุ่มผู้ใช้งาน Social Media พบว่า ผู้ใช้งานส่วนใหญ่ตกอยู่ช่วงอายุเฉลี่ย 24-54 ปี ซึ่งสอดรับกับกลุ่ม White Collars Worker หรือกลุ่มวัยทำงานนั่นเอง จากเหตุผลดังกล่าวข้างต้น จึงไม่ต้องแปลกใจเลยว่า Social Media สอดรับกับการหางานมากแค่ไหน

ปัจจุบัน Social Media มีอยู่เยอะแยะมากมายจนนับไม่หวาดไม่ไหว เราจะรู้ได้อย่างไรว่า ตัวไหนควรใช้บ้าง?


ในเบื้องต้น ขอแนะนำ Facebook , Twitter, LinkedIn และ YouTube มาดูเหตุผลกันดีกว่าว่าทำไม

Facebook
หากคุณกรอกโปร์ไฟล์ส่วนตัว ประวัติการศึกษา และประวัติการทำงานได้ครบถ้วนสมบูรณ์ เฟสบุ้กเป็นอีกช่องทางนึงที่มีระบบสืบค้นที่ค่อนข้างตรงและแม่นยำ ลองนึกภาพตามว่า หากบริษัทแห่งหนึ่งต้องการหาบุคลากรที่มาจากบริษัทคู่แข่ง หรือ จากสถาบันการศึกษาเฉพาะที่กำหนดไว้ แค่พิมพ์ชื่อบริษัทหรือสถานศึกษาลงไป และทำการสืบค้น รายชื่อโปร์ไฟล์ของผู้ที่เกี่ยวข้องก็แสดงปรากฏในลิสต์เพียงไม่กี่วินาที

Twitter
เนื่องจากทวิตเตอร์เป็น Communication Tool ที่มาแรง และทรงอิทธิพลในยุคปัจจุบันมากที่สุดตัวหนึ่ง ด้วยจำนวนผู้ใช้งานมากถึง 190 ล้านคนทั่วโลก สื่อสารผ่านข้อจำกัดที่พิมพ์ได้ครั้งหนึ่งไม่เกิน 140ตัวอักษร เราสามารถติดตาม (Follow) กลับทางเดียว โดยที่คนคนนั้นไม่จำเป็นต้อง Follow เราอยู่ ซึ่งต่างจาก Social Media ประเภทอื่น ๆ ที่จะต้องมีเน็ตเวิร์กร่วมกันหรือเป็นตกลงเป็นเพื่อนกันก่อนจึงจะสามารถ ติดตามความเคลื่อนไหวของกันและกันได้ และ เนื่องด้วยการตาม Timeline ของบุคคลมากหน้าหลายตาทำให้เราเหมือนรู้จักใกล้ชิดสนิทสนมกับบุคคลนั้นไปโดย ปริยาย ทวิตเตอร์จึงเป็นเครื่องมือที่บรรดาบริษัท/องค์กร/บริษัทจัดหางานต่าง ๆ พร้อมใจกันใช้เป็นเครื่องมือประชาสัมพันธ์ค่อนข้างประสบความสำเร็จและสามารถ เข้าถึง เกิดการบอกต่อจนเกิดจำนวน Follower ที่เพิ่มขึ้น

LinkedIn ถือเป็น Social Media ที่จัดการด้านการหางานโดยตรง นอกจากจะช่วยในการพบเห็นประวัติ โดยมีจุดประสงค์ให้ผู้ใช้งานสามารถสร้างหน้าฝากประวัติ หรือโปร์ไฟล์ของตัวเองให้ดูโดดเด่น โดยเท่าที่เห็นส่วนใหญ่จะเขียนประวัติในลักษณะเป็นทางการ ต่างจากการเขียนประวัติใน Social Media อื่น ทั้งนี้เพื่อต้องการสร้างความน่าเชื่อถือ เพื่อเป็นโปร์ไฟล์ที่น่าสนใจแก่ตลาดหรือองค์กร ซึ่งองค์กรเหล่านั้นสามารถเข้าถึงเจ้าของโปร์ไฟล์ ได้โดยตรงด้วยระบบค้นหา

YouTube
ยูทูปเป็นเว็บไซต์ที่ผู้ในหลายๆ องค์กรพยายามที่จะนำมาประกอบกับการสัมภาษณ์งาน เช่น การให้ผู้สมัครงานอัปโหลดวิดีโอแนะนำตัวเองแบบสั้นๆ และส่งลิงค์มาให้พิจารณาก่อนที่จะมาสัมภาษณ์จริง ทั้งนี้เพื่อพิจารณาลักษณะหน้าตา บุคลิกภาพ และ ท่วงทำนองการสื่อสาร

เรื่องที่ไม่ควรมองข้าม เวลาหางานผ่าน Social Media

เมื่อรู้แล้วว่าเราควรใช้ Social Media อันไหนบ้าง ทีนี้เรามาลองพิจารณากันรายตัว เริ่มตั้งแต่

Facebook
- เขียนประวัติให้ครบถ้วน ทั้งในด้านการศึกษา สถานที่ทำงาน การเขียนโปร์ไฟล์ครบก็เพิ่มโอกาสในการ แต่ทั้งนี้เมื่อคำนึงถึงความปลอดภัยของทั้งตัวคุณและข้อมูล ไม่จำเป็นต้องกรอกประวัติส่วนตัวที่สามารถเข้าถึงตัวคุณได้โดยตรง เช่น เบอร์โทรศัพท์ หรืออีเมล เนื่องจากเฟสบุ้กมีการให้ใช้กล่องข้อความเพื่อการสื่อสารระหว่างกันอยู่แล้ว

- โพสต์ข้อความ รูปภาพ วิดีโอแสดงความเป็นตัวตน แสดงความสามารถพิเศษ เพื่อให้บริษัทสามารถศึกษาความเป็นตัวตนของคุณได้

- ไม่อ้างอิง ฝักใฝ่การเมืองฝ่ายใด ด้วยการไม่เข้าร่วม กลุ่มทางด้านการเมือง เนื่องจากบางบริษัทฯ มองว่าเป็นเรื่องละเอียดอ่อน และไม่ต้องการให้พนักงานของตนเข้าไปมีส่วนร่วม

- เข้าร่วมกลุ่ม เข้าร่วมกิจกรรม ของหน่วยงาน/องค์กรที่สะท้อนความเป็นตัวตนของคุณ และ ไม่ขัดต่อหลักจริยธรรม

Twitter
- เนื่องจากการเขียนประวัติส่วนตัว (Bio) ในทวิตเตอร์มีข้อจำกัดในการเขียนได้ไม่เกิน 160 ตัวอักษร การเขียนประวัติข้อมูลส่วนตัวจะต้องทำอย่างกระชับบ่งบอกตัวคุณเอง การทำงาน กิจกรรมยามว่าง ความสนใจ อย่างสั้น ๆ ได้ใจความ

- ใส่ภาพ Avatar ที่เป็นภาพจริงของคุณในลักษณะปกติ บ่งบอกความเป็นตัวตนของคุณ

- ทำ Image Background โดยเพิ่ม Bio ที่น่าสนใจในตัวคุณลงไปเพิ่มเติม ยกตัวอย่าง กรณี @yokekung มีการเพิ่ม Text ลงใน Image Background พูดถึง ลักษณะงานที่สนใจ รวมทั้งเขียน URL ผลงานของตนเอง เพื่อให้ Visitor สามารถตามลิงค์เพื่อเปิดดูต่อได้

- ควร Follow บุคคลที่คิดว่า ลักษณะโปร์ไฟล์น่าสนใจ และไม่สุ่มเสี่ยงต่อการผิดจริยธรรมอันดีของสังคม

LinkedIn
- กรอกข้อมูลให้ครบทุกอย่าง ในรูปแบบทางการ และดูเป็นมืออาชีพ ไม่ว่าจะเป็น รูปภาพ ประวัติการศึกษา ประวัติการทำงาน

- หากสามารถทำให้บุคคลอื่นๆ เข้ามาเขียน Recommendation ในตัวเรา ในผลงานของเรา เพื่อสร้างให้โปร์ไฟล์ของคุณให้ดูดีและมีความน่าเชื่อถือ

- เชื่อมต่อโปร์ไฟล์ของตนเอง ด้วยการติดต่อขอ Connection กับบุคคลที่มีชื่อเสียง มีความสามารถ

YouTube
หากความสามารถอันบรรเจิดของคุณสามารถโลดแล่นบนวิดีโอเพียงสั้นไม่กี่ นาทีได้ อย่ารีรอที่จะสร้าง ตัดต่อ และโพสต์ออกมา เพื่อแสดงศักยภาพในตัวคุณอีกมุมมองหนึ่ง ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนและประสบความสำเร็จ คือ สาวเกาหลีที่ชื่อ คิม โยว ฮี หรือ ที่ทุกคนใช้คำว่า Apple Girl ในการค้นหาวิดีโอของเธอ โดยเธอมีความสามารถพิเศษทางด้านการดนตรี โดยการนำ ไอโฟนหลายๆ เครื่องใช้ในการทำเพลงเสมือนอัดเพลงอยู่ในห้องสตูดิโอ เธอได้ทำการเล่นดนตรีและโพสต์วิดีโอการแสดงขึ้นยูทูป อีกต่อมาไม่นานเธอก็ได้งานที่เธอถนัด เซ็นสัญญากับค่ายเพลงในเกาหลี

ทั้งนี้ทั้งนั้น การโพสต์ข้อมูลขึ้น Social Media ควรคิดก่อนโพสต์ทุกครั้ง เพราะข้อมูลทุกอย่างสะท้อนล้วนแล้วแต่เป็นกระจกเงาสะท้อนด้านดีหรือด้านเสีย ของคุณ ดังคำกล่าวของท่านประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาบารัค โอบาม่า ที่กล่าวเตื่อนสติวัยรุ่นอเมริกันทุกคนให้ระมัดระวังคำพูดก่อนที่จะโพสต์ข้อ ความต่าง ๆ ลงเฟสบุ้กเพราะในอนาคตข้างหน้าเมื่อก้าวเข้าสู่วัยทำงาน หรือ กำลังมองหางาน ข้อมูลทุกอย่างที่ปรากฏอยู่ในเฟสบุ้กหรือทวิตเตอร์ ล้วนแล้วแต่เป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจจ้างงานจากนายจ้าง และข้อมูลทุกอย่างล้วนอยู่ในผลลัพธ์การค้นหาแทบทั้งสิ้น

ทำอย่างไรให้ประสบความสำเร็จในการหางานด้วย Social Media

จากเหตุผลร้อยแปดประการดังกล่าวข้างต้น ขอสรุป 3 ข้อสั้น ๆ ดังต่อไปนี้

1.เขียนประวัติโปร์ไฟล์ตนเองให้ถูกต้อง ครบถ้วน แสดงศักยภาพของตัวเองเท่าที่มี และเหมาะสมกับ Social Media แต่ละประเภทโดยเขียน โพสต์รูปภาพ วิดีโอทุกอย่างบนพื้นฐานความจริง สิ่งไหนไม่ดีเป็นข้อด้อยของตัวเอง ไม่จำเป็นต้องเขียนบรรยายสรรพคุณสิ่งนั้นออกมา และระมัดระวังการเขียน ตอบโต้ และโพสต์ข้อความในแง่ลบหรือพาดพิงถึงผู้อื่น จำไว้ว่าทุกอย่างล้วนแล้วแต่เป็นหลักฐานชั้นดีในอนาคตการทำงานของคุณ

2.พยายามสร้างปฏิสัมพันธ์ (Interaction) กับบริษัทหรือองค์กรที่หมายปอง เรียกง่ายๆ ว่า บางครั้ง เราจำเป็นต้องเสนอตัวและสร้างสถานการณ์ขึ้นมาด้วย เช่น กรณีการสอบถามตอบโต้กับบริษัทนั้นๆ ทั้งนี้เพื่อสร้างแรงดึงดูดและจุดสนใจให้กับบริษัทรู้จักเรามากยิ่งขึ้น

3.ใช้ประโยชน์และข้อดีจากเครื่องมือ Social Media แต่ละประเภท จำไว้ว่าคุณยิ่งถือครอง Social Media และเชื่อมโยงเข้าไว้ด้วยกันมากเท่าไหร่ จะเพิ่มโอกาสให้นายจ้าง หรือ บริษัทจัดหางานค้นหาและแกะรอยข้อมูลของคุณได้มากยิ่งขึ้นผ่านเสิร์ช เอนจินต่างๆ ขอยกตัวอย่างกรณีเสิร์ชในกูเกิลคำว่า Pawoot ผลลัพธ์การค้นหา จะพบทั้ง Facebook, Twitter, Youtube, Foursquare และ Blog ต่างๆ มากมาย


แล้วในมุมมองของบริษัทจัดหางานในประเทศไทยหละ มีการนำ Social Media ไปใช้บ้างหรือยัง

จากการสำรวจการใช้ Social Media ในธุรกิจจัดหางานและสรรหาบุคลากร พบว่าบริษัทรับประกาศตำแหน่งงาน (Job Posting Company) บริษัทจัดหางาน (Recruitment Agency) หรือที่ใครหลายคนนิยมเรียกติดปากว่า Head Hunter หรือแม้กระทั่งบริษัท หน่วยงาน องค์กรต่าง ๆ ได้มีการนำ Social Media ใช้เพิ่มมากขึ้น โดยลักษณะการกระจายข้อความส่วนใหญ่จะเป็นการประกาศตำแหน่งงานว่าง คุณสมบัติของผู้สมัครงานที่สนใจ ความรู้ทางด้านการพัฒนาศักยภาพ รวมทั้งมีการวาง URL เพื่อลิงค์กลับเข้าไปยังเว็บไซต์ของตนเอง เพื่ออำนวยความสะดวกให้ผู้สมัครงานสามารถเข้าเว็บไซต์เพื่อสมัครงานได้โดย ตรง

และเนื่องจากในปัจจุบัน หากเราอยากรู้จักคนหนึ่งคน สิ่งที่เราทำอันดับแรกอาจเป็นการเสิร์ช ชื่อคนคนนั้นจากกูเกิล และก็ไม่แปลกใจที่ผลการค้นหาอันดับต้นๆ นั้นมาจาก Social Media แทบทั้งสิ้น บริษัทจัดหางานต่างๆ จึงใช้ช่องทางนี้เป็นช่องทางในการสืบค้น ตรวจสอบประวัติของคุณก่อนเรียกสัมภาษณ์เช่นกัน อีกทั้งหากสังเกตแบบฟอร์มสมัครงานปัจจุบันของหลายๆ องค์กร ก็จะพบว่ามีช่องเพิ่มเติมให้กรอก URL ส่วนตัว, Facebook Account , Twitter ID

ดังนั้น ใครที่กำลังมองหางานกับบริษัทเป้าหมาย ก็อย่าลืม Follow หรือ ไปกดปุ่ม Like บริษัทนั้น ๆ ไว้ เพื่อให้มีข้อมูลงานตำแหน่งใหม่ๆ Feed เข้ามาใน Wall หรือ ใน Timeline ของคุณอย่างสม่ำเสมอ เผื่อมีตำแหน่งงานที่น่าสนใจตรงกับคุณสมบัติของคุณ หรือเป็นตำแหน่งงานที่สามารถส่งต่อไปยังเพื่อน ๆ ในเครือข่ายของคุณได้

ทั้งหมดที่กล่าวมาข้างต้นล้วนแล้วแต่เป็นวิธีการ (How To)ในการสร้างโอกาสในการนำเสนอ ให้คุณในการถูกเรียกสัมภาษณ์จากนายจ้างได้เร็วขึ้น มีโอกาสในการเรียกสัมภาษณ์ แต่สุดท้ายแล้วการจะได้งานหรือไม่ได้งานนั้นจะอยู่ที่ศักยภาพของคุณ ดังนั้น นอกจากจะมีโปร์ไฟล์ ใน LinkedIn ที่สวยเนี้ยบเฉียบหรูดูทางการ มีข้อมูลบนเฟสบุ้กที่บ่งบอกความเป็นตัวตนที่แท้จริงของคุณ มีการทวีตข้อความดีๆ ใน Twitter มีวิดีโอในยูทูปที่ดูโดดเด่น แต่ความเป็นจริงแล้วสิ่งที่คุณขาดไม่ได้คือ ต้องพัฒนาศักยภาพของตัวเอง หรือ สร้างความมั่นใจ รวมทั้งแสดง Talent ที่มีอยู่ในตัวคุณให้ฉายแววออกมาสู่สภาพความเป็นจริงเมื่อนายจ้างเรียก สัมภาษณ์เข้าตำราทำ Marketing ดี Product ก็ต้องดีด้วยนะคะ

ขอให้โชคดีในการหางานตรงใจทุกคน หาคนตรงใจทุกงาน

ที่มา
ผู้จัดการออนไลน์

วันจันทร์ที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2553

ปรับแต่ง Onpage ให้ดีที่สุด เพื่อผลการจัดอันดับที่ดีที่สุด

ปรับแต่ง Onpage ให้ดีที่สุด เพื่อผลการจัดอันดับที่ดีที่สุด

จากประสบการณ์ในการทำ SEO ( Search engine Optimization ) อันน้อยนิด บวกกับภาษาอังกฤษอันน้อยนิดไปด้วย หลังจากการหาข้อมูล บวกกับประสบการณ์ของตัวเองนั้นได้ค้นพบความจริงที่ว่า ถึงแม้ว่า Search engine โดยเฉพาะ อาร์ตตัวแม่อย่าง Google จะให้ความสำคัญกับ Offpage มาเป็นอันดับ 1 แต่ก็ยังคง ให้ความสำคัญกับ Onpage ไม่น้อย ดังจะเห็นได้จากเว็บไซต์ที่ได้อันดับดี ๆ (ในที่นี่ผมหมายถึงอันดับ 1) กลับมีการปรับแต่ง Onpage หลาย ๆ อย่างคล้ายกัน ดังนี้

1.การเข้าถึง
การเข้าถึงของ Search Engine ในเว็บไซต์ที่ดีนั้นจะควบคุมไม่ให้มีลิงค์เสีย หรือหน้าที่ไม่สามารถอ่านได้ เลยแม้แต่หน้าเดียวส่งผลให้การเข้าเก็บข้อมูลของ Bot เพื่อนำเอาไป index ไว้ในฐานข้อมูลเป็นไปได้อย่างราบรื่นไม่มีติดขัด การไต่ของบอทจึง “ลึก” และ “เร็ว” กว่าเว็บที่มีหน้าเสีย มีลิงค์เสียอยู่มากมาย

2.เนื้อหา
Content is King ยังคงใช้ได้อยู่เสมอแม้ในชั่วโมงที่ Search engine ตัวแม่อย่าง Google ไม่สนใจ แต่เราต้องไม่ลืมว่า ยังไงเสีย Search engine ก็ยังคงต้องการ เนื้อหาใหม่ ๆ ที่ไม่มีในสารบบ เพื่อการนำไป index เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีแก่ผู้ใช้

ตรงนี้ผมมีประสบการณ์จาก เว็บไซต์เพื่อนคนนึงซึ่งเป็นมือใหม่ในการทำเว็บ เรียกว่าไม่เคยทำเว็บมาก่อนเลยทีเดียว ผมบอกให้เค้าทำตามที่ผมบอก ด้วยการอัพเดทเนื้อหา สด ๆ หรือ Unique content. ทุึกวันวันละหนึ่งบทความ เวลาผ่านไปหนึ่งเดือน เนื้อหามี 30 บทความพอดี และบังเอิญ Google ปรับ PR เชื่อไหมว่าเว็บไซต์น้องใหม่นี้ได้ PR5 ทันที อยากเห็นดูตามลิงค์เว็บนี้ไปได้เลยครับ

นอกจากเนื้อหาดี ๆ จะเป็นที่สนใจของ Search engine แล้วยังจำเป็นต้องดึงดูดความสนใจ ของผู้เข้าชมเพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดี และเนื้อหาดี ๆ เหล่านี้จะกระตุ้นให้ผู้เข้าชมอย่างแบ่งปัน โดยการนำไปแนะนำตาม Social Community ต่างๆ ซึ่งตรงนี้นี่เองจะเป็นผลพลอยได้ให้ มีการสร้าง Backlink คุณภาพ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญอันดับ 1 ของการทำ SEO

3.การปรับแต่ง Onpage พื้นฐาน
การกำหนด Keyword สำหรับ Webmaster มือใหม่หลายๆ คนตกม้าตายง่าย ๆ ด้วยการสร้างเว็บขึ้นมาจนเว็บเป็นรูปเป็นร่างแล้ว แต่ยังไม่รู้เลยว่าตัวเองต้องการทำอันดับใน Keyword ตัวไหน
ดังนั้นสิ่งแรกที่ผมจะแนะนำ ในการทำ Onpage ให้เว็บไซต์คุณคือการกำหนด Keyword ให้เว็บไซต์ การกำหนด Keyword ให้บทความที่คุณกำลังจะเขียน เมื่อคุณกำหนด Keyword ให้บทความคุณได้แล้วนั้นคุณจะต้องวาง Keyword ให้อยู่ในตำแหน่งสำคัญของบทความ ( URL, Title ,Internal link ) ทั้งนี้เพื่อให้ Search engine เ่ข้าใจว่าเราเขียนถึงเรื่องอะไร และเมื่อมีผู้เสริชหาข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนั้น ๆ Search engine จะได้นำข้อมูลไปนำเสนอให้แก่ผู้สืบค้นได้ถูก

4.การตลาดที่ดี
ใครว่าทำเว็บไซต์ไม่เกี่ยวกับการตลาด การทำเว็บไซต์ให้ประสบความสำเร็จคุณจำเป็นต้องวิเคราะห์ตลาด ต้องรู้ว่าผู้สืบค้นข้อมูล ในที่นี้ก็คือลูกค้านั่นเอง เร้าต้องรู้ว่าลูกค้าต้องการอะไร เพื่อที่เราจะได้หามาตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ถูก

สำหรับการตลาดส่วนที่เกี่ยวข้องกับ การทำ Onpage ให้เว็บไซต์คุณคือ เมื่อคุณทำสามข้อด้านบนมาหมดแล้ว คุณจะทำยังไงให้บทความดี ๆ เนื้อหาดี ๆ ของคุณถึงมือลูกค้า อย่างสมบูรณ์แบบและไวที่สุด ทั้งนี้เพื่อกระตุ้นให้เกิดการแบ่งปันระหว่างผู้ใช้ เพื่อ Backlink ที่จะย้อนกลับเข้ามาหาเราในอนาคต
ยิ่งปัจจัยล่าสุดที่ Google เผยไต๋ออกมา คือ อัลกอริทึ่มปัจจุบันและอนาคตจะนำส่วนของ Traffic หรือ อัตราการเข้าชมเว็บไซต์มาคิดคำนวณเพื่อจัดอันดับเว็บไซต์ด้วย ดังนั้นการตลาดคือสิ่งจำเป็นในการทำอันดับไปโดยปริยาย

5.Hosting หรือพื้นที่ในการวางเว็บไซต์
ผมจัดให้ Hosting อยู่ในส่วนของการทำ Onpage ให้เว็บไซต์ เนื่องจากว่าเป็นปัจจัยที่เราสามารถควบคุมได้ เราสามารถควบคุมได้โดยการเลือกหา Hosting ที่เร็วแรง และสเถียรภาพ สิ่งที่ Webmaster มือใหม่ไม่รู้และผิดพลาดกันมาก อีกส่วนหนึ่งคือส่วนนี้ คุณเชื่อหรือไม่ว่าเพียง โฮสที่คุณเลือกใช้ล่ม หรือใช้งา่นไม่ได้แค่ 30 นาที และเป็น 30 นาทีที่ Google Bot กำลังเข้ามาตรวจสอบเพื่อเก็บข้อมูลเว็บไซต์คุณนั้น มันสามารถทำให้คุณร่วงจากอันดับหนึ่งไปอยู่หน้า 2 ได่้เลยทันที และล่าสุดอีกเหมือนกันที่ Google เผยไต๋ออกมา ว่า อัลกอริทึ่มตัวใหม่จะใช้ ความเร็วของการโหลดหน้าเว็บไปคำนวณเพื่อจัดอันดับด้วย
นอกจากการโ่หลดหน้าเว็บที่รวดเร็วจะส่งผลดีต่อ Search Engine แล้วยังส่งผลดีกับผู้เข้าชมเว็บไซต์คุณ คุณคงไม่ปลื้่มนักที่เข้าเว็บไซต์เพื่อจะหาข้อมูล หรือซื้อสินค้า แล้วหน้าเว็บโหลดทีใช้เวลาเป็นนาที สำหรับผมแล้ว แค่ 30 วินาที ผมก็ปิดทิ้งแล้ว นอกจากการโหลดหน้าเว็บแล้ว การเลือกใช้ Hosting ที่แรง ๆ นั้น ส่งผลต่อการเก็บข้อมูลของ Google Bot ให้เป็นไปอย่างราบลื่นการไต่ของบอทจะไต่ได้ “ลึก” และ “เร็ว” กว่า

ดังนั้น ถ้าคุณทำเว็บไทย คุณก็ควรเลือกใช้ Hosting ที่ตั้งอยู่ในประเทศไทยเพื่อความเร็วของการแสดงหน้าเว็บ ถ้าทำเว็บนอกก็ควรใช้เว็บที่ Server ตั้งอยู่ในประเทศนั้น ๆ เพื่อความรวดเร็วเช่นกัน สำหรับมือใหม่ อยากทำเว็บขายสินค้าหรือเว็บไซต์เพื่อทำ Adsense ก็ตาม ถ้าเป็นโฮสนอกผมแนะนำ Hostgator ที่ผมใช้อยู่ ซึ่งราคาถูก และให้พื้นที่ กับ Domain Unlimited ถ้าเป็นโฮสไทย ผมใช้อยู่้สองที่ แต่เนะนำของน้องคนนึง โฮสแรง บอทแรง ที่ Hosting IDC www.hostingidc.com ลองใช้กันดูครับ

6.การปรับ Onpage ด้วยการใส่ใจทุกรายละเอียด
สิ่งสำคัญเหนืออื่นใดในการทำ Onpage SEO คือการใส่ใจรายละเอียดในการปรับแต่ง Onpage ทุกขั้นตอนเพราะการทำ Onpage เป็นสิ่งที่เราควบคุมได้เองทุกขั้นตอน เป็นคะแนน Ranking ที่เราได้มาด้วยตัวเราเอง

คัดลอกจาก
http://www.seosamutprakarn.com/%e0%b8%9b%e0%b8%a3%e0%b8%b1%e0%b8%9a%e0%b9%81%e0%b8%95%e0%b9%88%e0%b8%87-onpage-%e0%b9%83%e0%b8%ab%e0%b9%89%e0%b8%94%e0%b8%b5%e0%b8%97%e0%b8%b5%e0%b9%88%e0%b8%aa%e0%b8%b8%e0%b8%94-%e0%b9%80%e0%b8%9e/.html