วันพฤหัสบดีที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

กฎทองในการตั้งชื่อโดเมน


สถิติจำนวนผู้จดโดเมน .th ที่เพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง
กฎทองในการตั้งชื่อโดเมน


ผมนั่งดูสถิติจำนวนผู้จดโดเมน .th ที่เพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงสิ้นปีที่แล้วถึงปีนี้ ดูเหมือนว่ากระแสความตกต่ำทางเศรษฐกิจในประเทศจะส่งผลตรงข้ามกับธุรกิจออนไลน์ น่าจะเป็นไปได้ว่ามีการอพยพหนีกระแสลบจากธุรกิจออฟไลน์ เข้าสู่ธุรกิจออนไลน์ที่คงจะเป็นทางออกอีกทางหนึ่งเพื่อกู้สถานการณ์ตอนนี้

สาเหตุที่ธุรกิจออนไลน์พากันเจริญเติบโต อันเนื่องมาจากต้นทุนที่ต่ำกว่าธุรกิจแบบทั่วไปมาก ที่เห็นได้ชัดอย่างแรกเลยคือ ไม่ต้องไปหาเช่าอาคารพาณิชย์ 2 คูหาห้องมุม ติดย่านธุรกิจ เพื่อจะเปิดเป็นหน้าร้านหรือโชว์รูม ซึ่งราคาก็คงอยู่ที่หลายล้านบาท จนไปถึงหลายสิบล้านบาท สู้มาเปิดหน้าร้านออนไลน์ เสียค่าจดโดเมน ค่าเช่าโฮสต์ แถมด้วยค่าออกแบบเว็บไซต์แทนที่จะไปเสียค่าตกแต่งร้าน รวม ๆ แล้วน่าจะอยู่ในเกณฑ์หลักหมื่น หรือแสน ก็แล้วแต่ความหรูหราของเจ้าของร้าน แต่ที่แน่นอนลดต้นทุนแรกเริ่มลงไปได้โขทีเดียว

อันดับต่อไปคงเป็นเรื่องของการโฆษณาประชาสัมพันธ์ร้านเราให้คนรู้จัก ตอนนี้เราไม่มีห้องหัวมุมในแหล่งชุมชน แต่เราก็ยังต้องการคนมาเดินผ่านหน้าร้านเราอยู่ดี เหล่านี้คงต้องพึ่ง Search Engine และการทำ SEO (Search Engine Optimization) เพื่อให้หน้าร้านเราเข้าไปอยู่ในอันดับต้น ๆ เพื่อให้คนผ่านตาและพร้อมที่คลิ้กเข้ามา แล้วแทนที่เราจะเอาแผ่นพับไปแจก เอาโปสเตอร์ไปติด ไปเช่าเวลาไม่กี่วินาทีในโทรทัศน์วิทยุ มาทำโฆษณา ซึ่งสนนราคาเป็นแสนกันเลยทีเดียว เราก็สร้างลิงค์ ติดแบนเนอร์ ตามเว็บไซต์ที่มีกลุ่มลูกค้าเราอยู่ ดูน่าจะเป็นวิธีที่ประหยัดกว่ามาก

ทีนี้หันมาดูทางด้านโดเมน เมื่อทำธุรกิจออนไลน์ โดเมนก็เปรียบเสมือนชื่อร้าน ชื่อร้านที่ลูกค้าเราจะจำเราได้ ซึ่งจะเป็นชื่อร้านที่เหล่า search engine เช่น Google หรือ Yahoo จะรู้จักเรา และดึงหน้าร้านของเราไปแสดงผ่านสายตาลูกค้า

การมีชื่อร้านที่เหมาะสมก็จะเป็นการช่วยแบ่งเบาภาระได้มากทีเดียว อย่างไรหรือครับ ขออธิบายอย่างนี้ครับ เมื่อชื่อเป็นที่เข้าใจได้ของผู้พบเห็น เช่นเกี่ยวกับสินค้าที่เราขาย ก็ง่ายต่อการจดจำของลูกค้า จากนั้นการจะสร้างแบรนด์จากชื่อโดเมนก็ไม่ใช่เรื่องยาก จะเอาชื่อโดเมนเราไปแปะไว้ตรงไหน ก็ง่ายที่คนจะจำได้ และลูกค้าก็ง่ายที่จะกลับมาใช้บริการเราอีก

ยิ่งไปกว่านั้นหากชื่อโดเมนเราง่ายต่อการเข้าใจของ search engine ด้วยแล้ว ก็จะทำให้เราประหยัดพลังในการทำ SEO ลงไปได้ด้วย ทีนี้ก็มาลองดูกันซิครับ ว่าเทคนิคและขั้นตอนที่จะช่วยในการเลือกโดเมนที่ผมเรียกว่า “เหมาะสม” มันควรจะมีอะไรบ้าง

1.เริ่มด้วยการมองธุรกิจตัวเองครับ ว่าเราขายอะไร แล้วเขียนคีย์เวิร์ดทั้งหมดที่เกี่ยวข้องออกมาครับ รวมทั้งคำต่าง ๆ ที่จะอยู่ในเว็บไซต์ของเรา หรือแม้แต่คำหรือคีย์เวิร์ดที่อยู่ในเว็บไซต์อื่นที่ทำธุรกิจเดียวหรือใกล้เคียงกับเรา

2.จากนั้นเอาคำเหล่านั้นมาเลือก โดยให้คะแนนตามคุณสมบัติดังนี้ครับ

2.1สั้น
2.2จำง่าย
2.3ไม่งง
2.4พิมพ์ผิดยาก
2.5ตรงกับธุรกิจหลักของเรา
2.6ออกเสียงได้
2.7ความหมายในทางกว้าง หรือ เฉพาะเจาะจง เช่น เราทำเว็บเกี่ยวกับรถ ควรเลือกคำว่า CAR หรือหากเราจะทำเว็บรถฟอร์ด ก็ควรจะเลือกคำว่า FORD และอยากให้สังเกตนิดครับว่า คำที่ “สั้น” ไม่ใช่คำที่ “จำได้ง่าย” เสมอไป เช่นเราต้องการใช้คำว่า “This Name Is Good Oh My God” ลองพิจารณาดูครับว่าระหว่าง 2 โดเมนนี้ ใครจำง่ายกว่ากัน “tnigomg.in.th” กับ “ThisNameIsGoodOhMyGod.in.th” คุณจะเลือกอันไหน

3.เมื่อได้ชื่อแล้ว ก็เลือกดอท ว่าจดดอทอะไรดี .com หรือ .co.th หรือ .in.th หรือ อื่น ๆ

ไม่ว่าจะจดดอทอะไร เราก็สามารถมีลูกค้าได้ทั่วโลกเช่นเดียวกัน และเราอาจจะจดไว้มากกว่า 1 ดอท เพื่อดักความสับสนของผู้ใช้งานเอาไว้ การเลือกใช้ดอทท้องถิ่น เช่น .th ก็จะดีหากต้องการให้คนรู้ว่า เราเป็นธุรกิจไทย เนื่องจาก .th มีการตรวจสอบการมีตัวตนของเจ้าของโดเมน ซึ่งจะเป็นการสร้างความน่าเชื่อถือให้กับเว็บไซต์ด้วย

4.เข้าไปเช็คตามผู้ให้บริการของดอทนั้น ๆ ว่า ชื่อที่เราเลือกว่างอยู่หรือเปล่า ถ้าว่าก็จดเลยครับ อย่าช้าอยู่ แต่ถ้าไม่ว่าง ก็ให้ลองทำข้อต่อไปครับ

5.ให้เอาคำที่เลือกมาขยายด้วยวิธีต่าง ๆ เช่น

5.1ใช้คำที่มีความหมายเหมือนหรือใกล้เคียงกัน แต่เปลี่ยนรูป เช่น แปลงเป็น คำนาม, คำกริยา, คำวิเศษณ์ .... เช่น Fly, Flight, Flew, Flyer
5.2เติมตัวเลขลงไปในคำ
5.3เติมคำนำหน้า เช่น The หรือ My
5.4เติมเครื่องหมายขีด “-“ ซึ่งเป็นอักขระพิเศษตัวเดียวที่สามารถอยู่ในโดเมนได้

ตรงนี้มีประเด็นอยู่นิดครับ คือ หากเรามุ่งเน้นให้คนจำชื่อเว็บเราได้และบอกต่อ ไม่ควรจะใส่ขีด เพราะคนส่วนใหญ่เวลาจดจำไปจะไม่ได้จำขีดไปด้วย ยิ่งกว่านั้น ถึงแม้จะจำได้ แต่เวลาบอกต่อไม่ได้บอกขีดไปด้วย ทำให้เกิดความสับสนขึ้นได้ แต่ที่กลับกันคือ “ขีด” จะมีผลดีในการช่วยแบ่งคำเพื่อให้ search engine เข้าใจถูกต้องมากขึ้น

5.5เช่นเดียวกันกับข้างบนครับ เมื่อจะต้องเติม S ควรพิจารณาดี ๆ เพราะ S จะยากสำหรับการบอกต่อเช่นกัน

6.สิ่งที่ต้องระวังในการตั้งชื่อคือตัวอักษรที่จะสร้างความสับสนเช่น O (โอ) และ 0 (ศูนย์) หรือ l (แอล), 1 (หนึ่ง) และ I (ไอ)

ควรเลี่ยงตัวอักษรเหล่านี้ในบางตำแหน่งที่จะทำให้คนเข้าใจผิดได้ เช่น fun0.in.th แบบนี้จะทำให้ตัดสินใจยากว่า เป็นศูนย์หรือโอ

7.เมื่อได้คำใหม่แล้ว ก็ให้วนกลับไปทำตามข้อ 4 และทำไปเรื่อย ๆ หากชื่อที่ต้องการยังไม่ว่าง

ต้องจำไว้นิดครับว่า “คนจะไม่จำ เพียงเพราะเราอยากให้เขาจำ” ฉะนั้นคงต้องสละเวลาพอสมควรในการคิดค้นชื่อ เริ่มต้นดีก็มีชัยไปกว่าครึ่งครับ นักธุรกิจหน้าใหม่ใช้ทุนต่ำ ๆ จะประสบความสำเร็จคงต้องลงทุนสมองเพื่อจะขึ้นมาอยู่ในชั้นแนวหน้าได้

โชคดีทุกท่านครับ


ที่มา
ลดรายจ่ายในธุรกิจไอที - เลือกชื่อโดเมนให้เหมาะกับธุรกิจ (บทความโดย ภาคภูมิ ไตรพัฒน์ www.thnic.co.th)
http://www.manager.co.th/Cyberbiz/ViewNews.aspx?NewsID=9520000106299

การตลาดด้วยแผนที่ เริ่มที่ไหนดี

การตลาดด้วยแผนที่ เริ่มที่ไหนดี

แผนที่กระดาษสามารถเป็นพื้นที่โฆษณาได้ฉันใด แผนที่ดิจิตอลทั้งตระกูลออนไลน์และออฟไลน์ก็สามารถเป็นเครื่องมือการตลาดทางเลือกใหม่อนาคตไกลได้ฉันนั้น "ทำเงินบนโลกไอที"สัปดาห์นี้จะพาคุณไปทำความเข้าใจกับบันไดขั้นแรกของการทำการตลาดบนแผนที่ดิจิตอล พร้อมกับกรณีศึกษาที่พิสูจน์มาแล้วว่าได้ผลจริง

ในแต่ละวันคุณต้องเดินทางบ่อยครั้งแค่ไหนค่ะ ปฏิเสธกันไม่ได้ใช่มั๊ยค่ะว่าบางครั้งคุณต้องเสียเวลาเดินทางมากกว่าเวลาที่ไปทำธุระซะอีก ยิ่งถ้าไม่คุ้นเส้นทางเราก็ควรวางแผนเผื่อเวลาไว้สักเล็กน้อย ต่อให้ใช้บริการรถไฟฟ้าก็เถอะ โดยเฉพาะคุณผู้หญิงแล้วต้องเผื่อเวลาสำหรับเรื่อง “หลงทาง” อีกด้วย...

เหตุการณ์หลงทางถูกแก้ไขได้ง่ายๆ เพียงแค่เราวางแผนการเดินทางค้นหาเส้นทางที่ดีที่สุด ไม่ว่าจะขึ้นทางด่วน หรือใช้เส้นทางลัดเราก็ค้นหาจากแผนที่ เจ้าแผนที่นี้แหละที่เปิดช่องทางสร้างโอกาสให้กับเหล่านักการตลาด ทั้งในโลกแห่ง Offline และ Online

ในทางออฟไลน์นั้นเราใช้แผนที่แบบกระดาษ หรืออุปกรณ์นำทางโดยอาศัยสัญญาณดาวเทียม (GPS : Global Position System) มีผู้ใช้งานกว่า 60,000 เครื่อง สาเหตุได้รับความนิยมเนื่องจาก ใช้ง่าย ข้อมูลละเอียดจนรถยนต์รุ่นใหม่ๆ ยังติดตั้งอุปกรณ์นำทางนี้เข้ามาเป็นอีกหนึ่งอวัยวะของรถที่ขาดไม่ได้ เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้ขับขี่ ส่วนรถรุ่นเดิมๆก็สามารถหาซื้ออุปกรณ์ Hardware & Software ติดตั้งใช้เองด้วยสนนราคาเริ่มต้นที่หลักพันบาท แถมหาซื้อได้ง่ายๆแค่เดินเข้าร้านหนังสือในห้างทั่วไปก็ซื้อได้แล้ว


คราวนี้ถ้าสินค้าคุณสามารถเข้าไปอยู่ในเจ้าแผนที่ที่ว่านี้ได้ กี่สายตาที่ผู้บริโภคจะรับรู้และมีโอกาสเจอคุณ... นับไม่ถ้วนเลยค่ะ โอกาสเห็นยิ่งมาก ก็ยิ่งสร้างโอกาสแวะและซื้อตามมาเป็นลำดับ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องพิจารณาลักษณะของสินค้า & บริการที่นำเสนอควรมีความเกี่ยวข้องกับจุดประสงค์การเดินทางด้วย เช่น ปั๊มน้ำมัน จุดบริการตู้ ATM ร้านอาหาร ร้านกาแฟ แบบนี้เหมาะสมที่จะเข้าไปอยู่ในแผนที่นำทาง

ที่สำคัญคือสถานที่ต้องมีความแน่นอน ไม่ย้ายพิกัดเปลี่ยนที่อยู่บ่อย เพราะจะติดปัญหาเรื่องการอัพเดตข้อมูลที่นานปีทีหนจะอัพเดตกัน เช่น เราหมายมั่นตั้งพิกัดจะไปร้านก๋วยเตี๋ยวเรือเจ้าอร่อยที่เครื่องนำทางแนะนำ นึกดูหากวิ่งรถไปจนถึงพิกัดนั้นแล้วกลับไม่พบ เพราะเฮียเจ้าของร้านพายเรือไปเปิดร้านทำเลใหม่ โอโห...เสียความรู้สึกค่ะ เกิดความไม่เชื่อถือข้อมูลแล้วค่ะ

หรือสินค้าคุณไม่เกี่ยวข้องกับความต้องการในการเดินทางเลย แต่พยายามยัดเยียดข้อมูลให้ลูกค้าเวลาขับรถผ่าน เครื่องนำทางโชว์ทั้งโลโก้ สัญลักษณ์พร้อมเสียงเรียกเตือนอัจฉริยะบอกอีก 500 เมตรชิดซ้ายถึงร้าน... แบบนี้ก็น่ารำคาญสร้างภาพพจน์ในทางลบมากกว่าความประทับใจ

กลับมาดูในโลก Online หลายปีก่อนที่ Google ปล่อยตัว Google Earth ออกมาเป็นที่ฮือฮาจากแวดวงคนใช้อินเตอร์เน็ตอย่างมาก แม้แต่เราพยายามมองหาหลังคาบ้านตัวเองเลยค่ะ ซึ่งบางสถานที่ถูกพัฒนามองเป็นภาพ 3 มิติได้ด้วย เป็นที่น่าเสียดายด้วยข้อจำกัดของโปรแกรมหลายๆอย่าง อาทิเช่น ต้องติดตั้งโปรแกรมขนาดใหญ่ install แผนที่ประเทศไทยที่ยังไม่ชัดเจน ทำให้ผู้ใช้เหนื่อยกับการใช้งานไปเอง

แต่ในมุมมองของเจ้าพ่อ Search Engine อย่าง google ไม่ย่อท้อมองว่าพฤติกรรมการค้นหา และแสดงผลสามารถแสดงเป็นข้อความ รูปภาพ แ ละแผนที่บอกพิกัดที่ตั้งได้ด้วย จึงเกิด Google Maps แผนที่ที่ใช้งานง่ายผ่านเว็บบราวเซอร์ธรรมดาๆนี่เอง


ช่วงต้นปี 50 กระแสเรื่องแผนที่ก็กลับมาอีกครั้งเมื่อ Google Maps ได้เพิ่มข้อมูลแผนที่ประเทศไทย และได้ถูกพัฒนาเรื่อยมาให้สามารถแสดงผลเป็น 2 ภาษาทั้งไทยและอังกฤษ วิธีการแสดงผลก็มีหลากหลายรูปแบบให้เลือกทั้งแสดงแบบลายเส้น ภาพถ่ายดาวเทียม และแบบภูมิประเทศ ต้องขอบอกว่า Google Maps เวอร์ชันท้องถิ่นได้เปิดตัวที่ประเทศไทยเป็นประเทศแรกในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เลยนะคะ (http://maps.google.co.th) ทั้งยังมีแพลตฟอร์มแบบเปิดยืดหยุ่นให้นักพัฒนาและองค์กรธุรกิจพัฒนาต่อยอดได้ ซึ่งกว่าจะออกเวอร์ชันนี้มาได้ก็เคยแอบได้ยินเสียงบ่นจากเจ้าหน้าที่กูเกิลว่า การตั้งชื่อซอยและถนนหนทางของประเทศไทยนั้นปราบเซียนเลยทีเดียว และเมื่อมีข้อมูลเพิ่มมากขึ้นนั่นหมายถึงแผนที่เริ่มเข้ามาใกล้ชิดกับชีวิตประจำวันของผู้บริโภคมากขึ้นแล้วนั่นเอง

ด้วยฟีเจอร์ที่เปิดกว้างรองรับข้อมูลแบบข้อความ ภาพถ่าย ตลอดจนวีดีโอ ทำให้เราใส่ลูกเล่นได้เยอะขึ้น ยังไม่หมดแค่นี้ในฟีเจอร์ My map เราสามารถวาดเส้นเพื่อแนะนำเส้นทางได้ หรือจะเพิ่ม html ปรับแต่งความสวยงามของเพจก็ได้ แล้วแบ่งปันเปิดให้คนอื่นเห็นได้ด้วย ไม่ว่าจะค้นหาตำแหน่ง ขอเส้นทางระหว่าง 2 ตำแหน่งที่เดินทาง หรือค้นหาองค์กรธุรกิจ ตัวอย่างเช่น ธุรกิจที่มีหลายสาขา ร้านกาแฟ แฟรนไชส์ โรงแรมโดยเฉพาะธุรกิจท่องเที่ยวพลาดไม่ได้เลยค่ะ หรือแม้แต่อสังหาริมทรัพย์ที่มีหลายโครงการ


การปรับแต่งหน้าตาที่แสดงผลควรดูความเหมาะสมด้วย ไม่จำเป็นต้องยัดเยียดทุกฟีเจอร์ใส่เข้าไปในนั้นนะคะ แค่มี landing page ที่มีข้อมูลรองรับเกี่ยวข้องกับสิ่งที่ยูสเซอร์มองหาอยู่เค้าก็จะสนใจและคลิกเข้าชมเว็บเองค่ะ


หาร้านอาหารใกล้ออฟฟิศว่าเย็นนี้ไปนั่ง hang out ที่ไหนดีกับแก็งค์เพื่อนร่วมงาน เราก็ค้นหาสถานที่ ชมบรรยากาศ และเมนูอาหารเด็ดแนะนำของแต่ละร้านที่เราชื่นชอบ แล้วจบด้วยการจองโต๊ะสำรองล่วงหน้าไว้ได้เลย สะดวกมากค่ะ ทุกอย่างสามารถปิดการขายได้เพียงแค่ click & click

ในฟีเจอร์ my map ยังเปิดโอกาสให้ user ทั่วไปสร้างเนื้อหาตามความต้องการหรือประสบการณ์ส่วนตัวได้ด้วย แม้แต่ธุรกิจบริการก็ใช้ประโยชน์จากแผนที่ได้เช่นกัน อย่างสถานที่โปรดที่มักไป เช่น ร้านสปา นวดแผนไทย ยูสเซอร์จะปักหมุดบอกพิกัดพร้อมบรรยายสรรพคุณสั้นๆ แล้ว Share** ข้อมูลให้เพื่อนหรือผู้ใช้ google map คนอื่นๆได้เห็นอีกด้วย และแม้แต่ภาครัฐก็นำไปใช้ได้ใครจะรู้เกิดสรรพากรใช้แผนที่ปักหมุดทำฐานข้อมูลจัดเก็บภาษีขึ้นมาก็ยังได้

(คำว่า Share นี้มีความหมายยิ่งใหญ่นักในโลกของ online marketing ยิ่งแบ่งปันข้อมูลมากเท่าไหร่เครือข่ายข้อมูลก็ยิ่งกระจายออกไปเป็น Social network ไว้ถ้ามีโอกาสหน้า เราค่อยมาขยายความกันนะคะ)

แผนที่ถูกขยายความสามารถการใช้งานผ่านโทรศํพท์มือถือช่วยอำนวยความสะดวกพกไปได้ทุกที่ ยิ่งเป็นรุ่น smart phone ยอดนิยมอย่าง iPhone ฟังก์ชันใช้งานยิ่งง่าย เสมือนกับยูสเซอร์พกพาแคตตาล็อคสินค้าและบริการเราไปด้วยดีดีนี่เองค่ะ ลูกค้าค้นหาข้อมูลในแผนที่ได้ตามความต้องการเลยทีเดียว เรียกว่าเป็น สุดยอดการตลาดบนความต้องการของลูกค้า เจ้าของสินค้าแค่เตรียมข้อมูลรองรับไว้ให้พร้อมก็พอแล้ว

นอกจาก Google Maps ที่เป็นพระเอกด้านแผนที่แล้วยังมีเว็บไซต์สัญชาติไทยที่น่าสนใจอีก อาทิเช่น www.pointthailand.com เป็นชุมชนสมาชิกใช้งานถึง 230,000 รายที่ช่วยกันปักหมุดสถานที่ที่น่าสนใจในประเทศไทยแบ่งหมวดหมู่ชัดเจนง่ายต่อการสืบค้น จุดเด่นอื่นคือมีการอัพเดตข้อมูลจากดาวเทียม ikonos ทำให้เห็นภูมิประเทศแบบอัพเดตและ zoom in ได้ในระยะใกล้กว่าของ google map


และอีกเว็บที่น่าสนใจ คือ www.mapguidethailand.com เป็นของคนไทยแท้ๆ มีการแสดงผลแบบแผนที่ มีเส้นทางลัดและ facility ต่างๆแสดงระหว่างเส้นทาง เด่นที่อัพเดตข้อมูลโดยทีมงานลงภาคสนามจริง





คราวนี้ลองย้อนกลับมามองว่าสินค้าและบริการของคุณมีกลุ่มเป้าหมายเป็นใคร อยู่ที่ไหน แล้วเลือกใช้เครื่องมือการตลาดผสมผสานกันอย่างกลมกลืน (Integrate marketing) ก็จะได้สูตรใหม่ในการทำตลาดอีกหนึ่งช่องทางแล้วค่ะ กรณีแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ผลตอบรับที่เราได้ผสานแผนที่เสริมในเว็บไซต์ ทำให้เนื้อหามีความสมบูรณ์เพิ่มมากขึ้น ลูกค้าสามารถดูข้อมูลได้ชัดเจนทำให้ลูกค้าโทรถามเส้นทางน้อยลง แต่ทำให้เค้าหาข้อมูลและเปรียบเทียบสินค้าจากหน้าจอ จากนั้นแค่แวะชมบ้านจริงเพียง 1-2 ครั้ง แล้วตัดสินใจเลย ไม่น่าเชื่อใช่มั๊ยค่ะ... แต่นี่เป็นความจริงค่ะ


อ้อ...เกือบลืมบอกไปว่าทั้งหมดข้างต้นใช้งานฟรีนะคะ ของดีทรงประสิทธิภาพแบบนี้ใครทำก่อนก็ก้าวล้ำคู่แข่งไปก่อน แล้ววันนี้คุณจะรอเป็นคนสุดท้ายคอยเดินตามคนอื่นหรือค่ะ

ตราบใดที่อนาคตเราต้องเดินทางกันอยู่ แผนที่ก็ยังคงอยู่คู่เราไปอีกนานแสนนาน ยกเว้นถ้าวิทยาศาสตร์สามารถประดิษฐ์อุโมงค์วิเศษเคลื่อนย้ายสสารแบบของวิเศษโดเรมอนได้ เมื่อนั้นแผนที่ที่กล่าวมาทั้งหมดคงหมดความหมาย แต่เมื่อไหร่ละคะที่ความคิดนี้จะเป็นจริง...


ที่มา
Map Marketing บทความโดยปราง เล็กชลยุทธ์)
http://www.manager.co.th/Cyberbiz/ViewNews.aspx?NewsID=9520000120450

การตลาดผ่านแผนที่ออนไลน์

ตัวอย่างหน้าเว็บของ Mapion แสดงผลการค้นหาร้านอาหารในย่านชินจูกุ


สัปดาห์นี้"ทำเงินบนโลกไอที" จะพาคุณไปพบกับ 2 กิจกรรมพื้นฐานที่ทุกองค์กรธุรกิจไม่ควรพลาดโอกาสในการเก็บเกี่ยวประโยชน์จากบริการแผนที่ออนไลน์ ทั้ง 2 กิจกรรมไม่ต้องอาศัยความรู้ไอที และสามารถทำได้เลยหลังอ่านบทความจบ ที่สำคัญคือ ชื่อบริษัทหรือธุรกิจของคุณจะสามารถปรากฏต่อสายตาผู้ใช้งานแผนที่ออนไลน์ทั่วไทยและทั่วโลกได้ฟรี


จากตอนที่แล้ว เราพอได้เห็นภาพคร่าวๆว่าแผนที่ออนไลน์ยุคปัจจุบันเป็นอย่างไร พัฒนาไปถึงไหนกันแล้ว เพียงมีแค่เว็บเบราเซอร์ธรรมดาๆ เราก็สามารถเปิดดูแผนที่ได้ทั่วโลกจากเว็บผู้ให้บริการแผนที่รายต่างๆ ซึ่งก็มีหลากหลายทั้งไทยทั้งเทศ เช่น Google, Yahoo! หรือ Bing ของไมโครซอฟท์ หรือว่าจะเป็นผู้ให้บริการของไทย เช่น Longdo Map (ตอนที่แล้ว review ตกไปหน่อย), PointAsia หรือ MapGuideThailand

บริการของแต่ละค่ายนั้นมีจุดเด่นจุดด้อยต่างกันไป โดยมากการใช้งานพื้นฐานส่วนใหญ่ก็จะคล้ายๆ กัน จะต่างกันแค่ในรายละเอียดและในความสามารถขั้นสูงขึ้นไป เช่น ภาพแผนที่ของผู้ให้บริการไทยจะเน้นแสดงผลตำแหน่งสถานที่ต่างๆ ด้วย ขณะที่ค่ายของเมืองนอกจะไม่ค่อยเน้นเท่าไหร่ ซึ่งอาจจะเป็นเพราะระบบบ้านเลขที่/ที่อยู่ของเมืองนอกเขาสามารถระบุตำแหน่งได้ชัดเจน จึงไม่มีความจำเป็นจำเป็นต้องแสดงตำแหน่งสถานที่ แค่บอกที่อยู่ก็ทราบตำแหน่งแล้ว ไม่เหมือนบ้านเรา รวมถึงการค้นหาจะเก่งมากเก่งน้อย และการอนุญาตให้นำแผนที่ไปใช้งานต่อ ก็จะมีเงื่อนไขที่แตกต่างกันไป ฯลฯ

ถึงตรงนี้ หลายท่านอาจมีคำถามว่า ไอ้การเปิดแผนที่ดูว่าอะไรอยู่ที่ไหนน่ะ ใช้เป็นแล้ว แต่ในแง่ของผู้ประกอบการล่ะ จะใช้ประโยชน์จากบริการแผนที่ออนไลน์เหล่านี้ได้อย่างไรบ้าง?

คำตอบจริงๆ มีหลากหลายมากครับ ตั้งแต่อะไรง่ายๆ ไปจนถึงการจัดทำระบบ GIS (ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์) ที่ซับซ้อนเลยทีเดียว แต่ในตอนนี้เราจะมาแนะนำ 2 วิธีง่ายๆ ในการใช้บริการแผนที่เหล่านี้ให้เป็นประโยชน์กับธุรกิจของท่านครับ

อันดับแรกเลยก็คือ เราสามารถนำแผนที่เหล่านี้มาแปะในเว็บไซต์ของเราได้ กรณีที่เราต้องการแสดงผลภาพแผนที่ ไม่ว่าจะเป็นแสดงตำแหน่งขององค์กรให้ลูกค้าของเรารู้ หรือ แสดงผลข้อมูลอะไรที่วิลิศมาหราไปกว่านั้น แทนที่จะต้องไปนั่งวาดกันเอง ถูกบ้างผิดบ้าง

ผู้ให้บริการแผนที่ออนไลน์ต่างๆ ส่วนใหญ่จะมีบริการให้เรานำแผนที่มาแสดงได้ฟรีๆ อยู่แล้วครับ (หมายถึง ตามช่องทางที่เขาอนุญาตนะครับ ไม่ใช่ไปทำ screenshot เอาดื้อๆ การทำ screenshot นั้นมีข้อเสียที่สำคัญด้วย คือเวลาเขาปรับปรุงแผนที่ ภาพ screenshot นั้นจะไม่ปรับปรุงตาม)

การแปะแผนที่ออนไลน์บนเว็บไซต์นั้นแบ่งเป็นแบบง่ายและยาก แบบง่ายคือการติดแผนที่เฉพาะส่วนที่แสดงตำแหน่งของธุรกิจเราแห่งเดียว แบบนี้สามารถทำได้โดยนำโค้ด HTML บรรทัดเดียวไปแปะในเว็บไซต์ ก็เสร็จแล้ว

เว็บให้บริการแผนที่ส่วนใหญ่จะมีบริการนี้ทั้งสิ้นครับ ยกตัวอย่าง เช่น Google Maps เขาเรียกว่า “ลิงก์” ส่วน Longdo Map เขาเรียกว่า “Snippet” ของ PointAsia เขาเรียก “MiniMap” เป็นต้น วิธีทำคือคุณต้องเข้าไปลากๆ เลื่อนๆ แผนที่แล้วมองหาปุ่มที่จะสร้าง ลิงก์ หรือ Snippet ตามที่ต้องการ เมื่อกดปุ่มแล้วจะได้เป็น HTML code สำหรับมาแปะในเว็บไซต์คุณเอง เมื่อเอาไปแปะก็จะได้ภาพแผนที่โผล่ขึ้นมาครับ

นอกจากนี้ เราสามารถสั่งแสดงข้อมูลอื่นๆ เช่น ตำแหน่งลูกค้า หรือ ยานพาหนะ หรือ ข้อมูลเชิงวิเคราะห์อื่นๆ ซ้อนไปบนแผนที่ได้ด้วย โดยผู้ให้บริการแผนที่ออนไลน์ต่างๆ มักจะมีสิ่งที่เรียกว่า API หรือ Application Programming Interfaces ซึ่งพูดภาษาชาวบ้านก็คือ ช่องทางสำหรับให้ระบบเว็บของเราไปเรียกใช้บริการแผนที่มาแสดงในหน้าเว็บของเรา ซึ่งอาจจะซับซ้อนกว่าตัวอย่าง HTML code ข้างต้น แต่โดยมากก็มักจะเป็นภาษา JavaScript ซึ่งเป็นมาตรฐาน เว็บโปรแกรมเมอร์ทั่วๆ ไป น่าจะสามารถทำความเข้าใจได้ไม่มีปัญหา โดยเว็บที่นำเอา API มาใช้ในลักษณะนี้เราจะเรียกกันว่า mash-up นั่นเองครับ

ด้วย API นี้ เราสามารถทำอะไรที่มันหวือหวาขึ้นนอกเหนือจากแสดงแผนที่นิ่งๆ เช่น สั่งเลื่อนตำแหน่ง, วาดวัตถุซ้อนลงบนแผนที่, รวมถึงคำนวณเส้นทางจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่งได้ ฯลฯ เรียกได้ว่าสามารถพัฒนาเป็น web application ทาง GIS ได้เลย โดยบริการในรูปแบบ API นี้ ส่วนใหญ่จะมีแบบให้ใช้ฟรี แต่เราต้องดูในรายละเอียดด้วยว่ามีเงื่อนไขการใช้งานหรือไม่อย่างไรครับ

เช่น บางเจ้าอนุญาตให้ใช้ฟรีไม่จำกัดปริมาณข้อมูล แต่จะจำกัดประเภทของงาน และ การเข้าถึงเว็บไซต์ เช่น ถ้านำไปใช้ในงานติดตามยานพาหนะ หรือ ใช้ในเว็บ Intranet องค์กรที่ชาวบ้านไม่สามารถเข้าถึงได้ ก็จะต้องเสียค่าใช้จ่าย ในขณะที่บางเจ้าไม่จำกัดประเภทของงานและการเข้าถึงเว็บไซต์ แต่ไปจำกัดที่ปริมาณข้อมูลแทน เป็นต้น

ตัวอย่างการนำไปใช้ในรูปแบบ API นี้มีได้หลากหลายมาก ยกตัวอย่าง เช่น BigC ใช้แผนที่ Google Maps ในการแสดงตำแหน่งสาขาของตน, Agoda ใช้ Google Maps ในการแสดงตำแหน่งของโรงแรมต่างๆ เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจของผู้ใช้ หรือ NECTEC ที่ใช้ API ของ Longdo Map ในการพัฒนาเว็บสำหรับรายงานข้อมูลสภาพจราจร

มาถึงอันดับที่สอง คือ นอกจากที่เราจะนำแผนที่มาใส่ในเว็บเราแล้ว กลับกัน เราสามารถเอาข้อมูลธุรกิจของเราไปใส่ในเว็บแผนที่เหล่านี้ได้ด้วย ซึ่งเรามักจะเรียกกันว่าการไป “ปักหมุด” นั่นเอง

การปักหมุดเป็นช่องทางหนึ่งในการประชาสัมพันธ์องค์กรของเราโดย “ง่าย” และที่สำคัญ “ฟรี” การที่เราไปปักหมุดตามเว็บต่างๆ เหล่านี้ จะทำให้ผู้ใช้ที่ใช้บริการแผนที่ออนไลน์เหล่านี้อยู่ รวมถึงผู้ใช้ทั่วๆ ไปที่ค้นหาด้วย Google หรือ search engine อื่นๆ ก็มีแนวโน้มที่จะเจอธุรกิจของเราได้ง่ายขึ้นด้วย โดยที่ยังไม่ต้องไปลงโฆษณาให้เสียเงินเลย ขอแค่อย่าไปปักหมุดหลอกๆ หรือ ปักซ้ำๆ จนโดนเขาแบนเท่านั้น

วิธีการปักหมุดก็จะขึ้นอยู่กับบริการของแต่ละเจ้า เช่น ของ Google เขาจะเรียกว่า บริการ Local Business Center ที่อนุญาตให้เจ้าของกิจการ เข้ามาปักหมุดตำแหน่งธุรกิจของตัวเอง ซึ่งเมื่อเข้าไปแล้ว เมื่อค้นหาด้วย Google หรือ Google Maps ก็จะเจอธุรกิจของเรา

ใน Local Business Center เราสามารถกรอกรายละเอียดทั่วๆ ไปของธุรกิจ เช่น ชื่อ ที่อยู่ เบอร์โทร เวลาเปิดปิด ไปจนถึง รูปภาพ วีดีโอ เงื่อนไขการชำระเงิน ซึ่งหลังจากที่กรอกข้อมูลแล้ว ผู้ใช้บริการแผยที่ของกูเกิลทั่วโลกก็จะค้นหาเจอชื่อธุรกิจที่คุณป้อนเข้าไป

มาดูค่ายแผนที่ออนไลน์ของไทยกันบ้าง เริ่มด้วย PointAsia จะมีบริการ directory ที่เรียกว่า PointThailand โดยจะมีการจัดกลุ่มรวบรวมตำแหน่งธุรกิจบนแผนที่เป็นหมวดๆ โดยเราสามารถ login และเข้าไปกรอกรายละเอียดของธุรกิจเราได้ ส่วน Longdo Map ก็เปิดให้ปักหมุดสถานที่เช่นกัน สามารถป้อนรายละเอียด, อัพโหลดรูปและไฟล์ต่างๆ ได้ รวมถึงสามารถใส่ “tag” ให้กับสถานที่ได้ด้วย มีประโยชน์มากสำหรับธุรกิจที่มีหลายสาขา เพราะมีการค้นหา tag ชื่อนั้นๆ ระบบก็จะแสดงผลหมุดของทุกๆ สาขาของธุรกิจเราได้

หลักการทำงานของบริการไทยนั้นไม่ต่างกับกูเกิล เมื่อป้อนข้อมูลเกี่ยวกับบริษัท ก็จะค้นหาเจอในบริการนั้นๆ ซึ่งเมื่อผู้ใช้ค้นหาชื่อสถานที่ในเสิร์ชเอนจิ้นทั่วๆ ไป ก็จะเพิ่มโอกาสที่จะเจอสถานที่ของเรา จากหน้าที่ไปปักหมุดไว้ด้วย

บริการแผนที่ต่างๆ นอกจากดูทางเว็บแล้ว บางทีเราก็ยังสามารถดูแผนที่ได้จากโทรศัพท์มือถือได้ด้วย เช่น Ovi Maps ของค่ายโนเกีย, Google Maps รุ่นมือถือ ที่บางทีติดตั้งมากับมือถือที่ซื้อมาใหม่เลย หรือจะเป็น Longdo Mobile ก็มีรุ่นสำหรับ Windows Mobile, iPhone, Android, และ Java ซึ่งเมื่อปักหมุดธุรกิจของเราบนเว็บผู้ให้บริการแผนที่ออนไลน์เหล่านี้แล้ว ผู้ใช้จะสามารถเข้าถึงข้อมูลธุรกิจของเราได้ผ่านโปรแกรมบนโทรศัพท์มือถือ นำไปสู่บริการประเภท"แนะนำร้านอาหารที่อยู่ใกล้" ฯลฯ

นอกเหนือจากนี้ก็ยังมีเว็บไซต์ที่นำบริการแผนที่ออนไลน์เหล่านี้มาต่อยอดให้เกิดเป็นธุรกิจและบริการใหม่ๆ เช่น yelp เป็นเว็บไซด์ที่ให้บริการในการค้นหาธุรกิจในท้องถิ่น เช่น ร้านอาหาร ร้านค้าบริการต่างๆ โดยเน้นให้เจ้าของธุรกิจมาสร้างข้อมูลธุรกิจของตนบนเว็บไซด์ และให้ผู้ใช้งานทั่วไปเข้ามาเขียนความเห็นเกี่ยวกับธุรกิจนั้นๆ โดยตั้งอยู่บนหลักความคิดที่ว่า คนส่วนใหญ่มักจะอยากฟังความเห็น แลกเปลี่ยนกับผู้อื่นๆ ก่อนที่จะตัดสินใจใช้บริการหนึ่งๆ

หรือจะเป็นทางด้านอสังหาริมทรัพย์ ก็สามารถนำแผนที่มาใช้แสดงตำแหน่งของบ้าน/ห้องเช่า ค้นหาแล้วก็เห็นตำแหน่งเลย อย่าง housingmap.com

ส่วนของไทยเราก็มีบริการ mashup ที่น่าสนใจชื่อ EDT Guide เป็นศูนย์รวมข้อมูล กิน ดื่ม เที่ยว โดยมีการนำแผนที่ไปใช้ในการค้นหาร้านอาหาร สถานที่ท่องเที่ยว

ส่วนทางฝั่งญี่ปุ่น ความก้าวหน้าด้านแผนที่ออนไลน์นั้นไปไกลมาก ตัวแผนที่นั้นละเอียดมากถึงขอบอาคาร แนวฟุตบาท เกาะกลางถนน สะพานคนข้าม ฯลฯ กันเลยทีเดียว และบริการค้นหาสถานที่ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร, ที่พัก, สถานที่ช๊อปปิ้งก็ทำได้ละเอียดมาก

หวังว่าท่านจะได้ประโยชน์จากการใช้แผนที่ออนไลน์มาช่วยในการประชาสัมพันธ์และเพิ่มมูลค่าให้กับธุรกิจของท่าน และได้เห็นภาพแนวทางการนำแผนที่ออนไลน์ไปประยุกต์ใช้ไม่มากก็น้อยครับ!

ที่มา
การตลาดผ่านแผนที่ออนไลน์ – ลงมือปฏิบัติ (บทความโดย ดร.ภัทระ เกียรติเสวี www.mm.co.th)
http://www.manager.co.th/Cyberbiz/ViewNews.aspx?NewsID=9520000127304

GPS กับการตลาด


ผู้ใช้งานสมาร์ทโฟนสามารถเปิด Web Site ของสถานที่นั่น ๆ ได้ทันที เมื่อโปรแกรมแสดงตำแหน่งของสถานที่ที่น่าสนใจ

"ทำเงินบนโลกไอที"ครั้งนี้พูดถึงการทำเงินบนระบบแผนที่ดิจิตอล ครั้งแรกเราโชว์ให้เห็นว่าแผนที่ไอทีสามารถสนับสนุนการดำเนินงานของธุรกิจได้จริง ครั้งที่สองเรายกกรณีง่ายๆที่ทุกธุรกิจสามารถทำได้บนแผนที่ดิจิตอล สำหรับครั้งนี้ เราเชื่อว่าจะทำให้คุณผู้อ่านเข้าใจช่องทางการโฆษณาแบบเข้าถึงตัวผู้บริโภค ผ่านอุปกรณ์แสดงแผนที่ดิจิตอลระบบ GPS ทั้งโทรศัพท์มือถือ และ GPS นำทาง
เมื่อเข้าใจช่องทางแล้ว การค้นหาไอเดียเพื่อดำเนินการจริงก็ไม่ใช่เรื่องยากเกินเอื้อมอีกต่อไป


หลังจากที่ได้นำเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับการตลาดด้วยแผนที่ไปแล้ว 2 ตอน วันนี้เรามาดูการนำแผนที่ไปใช้งานในด้านการตลาดที่เกี่ยวข้องกับ GPS กันดีกว่าครับ ผมจะพาทุกท่านไปพบกับในอีกแง่มุมหนึ่งของการนำเอาแผนที่ไปใช้ประโยชน์ในด้านการตลาด ทั้งแผนที่ในโทรศัพท์มือถือ GPS นำทางแบบ PND และ ระบบ GPS นำทางที่ติดตั้งในรถยนต์

แต่ก่อนที่จะคุยถึงเรื่องของการตลาด เรามาทำความรู้จักกับเจ้าอุปกรณ์ GPS เพื่อการนำทางกันซะหน่อยดีกว่าครับ ปกติแล้วอุปกรณ์ GPS เพื่อการนำทางจะประกอบด้วยส่วนหลัก ๆ 3 ส่วนด้วยกันครับ คือ

- Hardware โดยหลัก ๆ แล้วก็คือตัวเครื่อง และ GPS Chip ที่อยู่ภายในนั่นเอง ซึ่งในปัจจุบันมีด้วยกันหลากหลายขนาด และรูปแบบ สำหรับ GPS Chip เองปัจจุบันก็มีหลากหลายยี่ห้อ ซึ่งส่วนใหญ่แล้วก็จะเป็นแบบ High Sensitivity หรือมีความไวในการรับสัญญานสูงทั้งสิ้น

- Software ส่วนนี้จะทำหน้าที่เหมือนเป็นสมองที่ใช้ในการคิดค้นหาเส้นทางที่ใช้ในการเดินทางระหว่างจุดต่าง ๆ โดยใช้เงื่อนไข และข้อมูลต่าง ๆ ในส่วนที่ 3 มาประกอบการวิเคราะห์ โดยความชาญฉลาดของอุปกรณ์ก็จะแตกต่างกันไปแล้วแต่บริษัทที่คิดค้นขึ้นมา

- Map ในปัจจุบันส่วนนี้เป็นเพียงส่วนเดียวที่สามารถดำเนินการผลิต และพัฒนาได้เองในเมืองไทย และโดยคนไทย เนื่องจากเป็นข้อมูลของเมืองไทยเราเอง ซึ่งเป็นส่วนที่สำคัญมากที่สุด และมีผลต่อความสามารถของระบบโดยรวมของอุปกรณ์ GPS เพื่อการนำทางเป็นอย่างมาก โดยข้อมูลพื้นฐานในส่วนนี้จะมี 2 ส่วนคือ ส่วนของข้อมูลเส้นถนน และข้อมูลสถานที่สำคัญ หรือที่เรียกกันว่า POI (point of interest) นั่นเอง ซึ่งความถูกต้องทางด้านตำแหน่ง และเงื่อนไขต่าง ๆ ของเส้นถนนเป็นส่วนสำคัญอย่างมากต่อการทำงานของอุปกรณ์นี้

ปกติแล้วกลยุทธ์หนึ่งในการทำการตลาดก็คือ การทำให้ผู้ใช้ หรือลูกค้ามีความจำได้ หรือระลึกถึงในตราสินค้าของตัวเอง ตรงนี้ GPS ที่ใช้ในการนำทางสามารถตอบโจทย์ได้ เพราะการมีความสามารถพิเศษที่เรียกว่า Brand Icon ซึ่งแทนที่จะแสดงตำแหน่งหรือ POI เป็นจุดธรรมดา เราสามารถที่จะนำเอาตราสัญลักษณ์ หรือรูปภาพมาแสดงแทนได้

ผลที่เกิดขึ้นคือ เมื่อเห็นภาพแผนที่ใน GPS ผู้ใช้งานจะทราบถึงยี่ห้อ และชื่อของตำแหน่งบริการหรือสถานที่นั้น ๆ ทันที

นอกจากนี้แล้วในขณะที่กำลังขับยานพาหนะอยู่บนท้องถนน ระบบ GPS เพื่อการนำทางนี้ก็ยังสามารถแสดงการเตือนเมื่อเรากำลังขับรถเข้าใกล้สิ่งที่เรียกว่า Alert POI ได้ ซึ่งเราก็จะสามารถนำมาใช้ในการแจ้งเตือนให้ผู้ใช้งานได้ทราบว่ากำลังจะเข้าใกล้จุด หรือตำแหน่งที่น่าสนใจแล้ว
แน่นอนว่าตรงนี้ ก็สามารถนำมาปรับใช้เป็นเครื่องมือทางการตลาดได้

ตัวอย่างเช่นบรรดาค่ายรถยนต์ต่าง ๆ ที่มีการขาย GPS เพื่อการนำทางติดไปกับรถยนต์รุ่นต่าง ๆ ค่ายรถเหล่านี้จะทำ Brand Icon แสดงสัญลักษณ์ยี่ห้อของรถของตัวเองแทนลง ณ ตำแหน่งของ Showroom หรือศูนย์บริการรถยนต์ นอกจากนี้ยังทำให้มีการแจ้งเตือนเมื่อผู้ขับรถขับรถเข้าใกล้ Showroom หรือศูนย์บริการของยี่ห้อนั้น ๆ ในลักษณะของ Alert POI อีกด้วย

สำหรับในโทรศัพท์มือถือนั้นขอเน้นในส่วนที่เป็น Smartphone นะครับ ความสามารถในการต่อ Internet ได้ทำให้สมาร์ทโฟนสามารถใช้งานได้กว้างขวางกว่า GPS ที่เป็น PND หรือแบบอื่น ๆ เพราะผู้ใช้งานจะสามารถเปิด Web Site ของสถานที่นั่น ๆ ได้ทันทีขณะใช้งานโปรแกรมที่เกี่ยวข้องกับการบอกตำแหน่ง เช่น Google Maps หรือซอฟต์แวร์ด้านการนำทางที่ติดตั้งอยู่ในสมาร์ทโฟน โดยเฉพาะเมื่อโปรแกรมแสดงตำแหน่งของสถานที่ที่น่าสนใจ

นอกจากนี้แล้ว เราสามารถที่จะใช้อุปกรณ์ GPS เพื่อการนำทางเป็นเครื่องมือทางการตลาดอย่างง่าย ๆ ได้ โดยมีธุรกิจหลากหลายประเภท เช่น บริษัทรถยนต์ บริษัทประกัน เป็นต้น ที่ดำเนินการจัดซื้อ หรือจัดหาอุปกรณ์ GPS เพื่อการนำทางเหล่านี้มาเป็นของแถม หรือของสมนาคุณให้กับลูกค้าที่ใช้บริการของหย่วยงานนั้น และได้ดำเนินการจัดทำสิ่งที่เรียกว่า Welcome Screen เพื่อให้ผู้ใช้งานเห็นรูปภาพของบริษัทนั้น ๆ ในหน้าแรกหลังเปิดเครื่องทุกครั้งไป

บรรดาเจ้าของกิจการต่าง ๆ ก็อยากที่จะให้ตำแหน่งที่ตั้งของกิจการของตนเองเข้าไปปรากฎเป็น 1 ใน POI ที่บรรจุอยู่ในอุปกรณ์ GPS เพื่อการนำทางเหล่านี้ด้วยทั้งในแบบ POI ปกติ ที่เมื่อผู้ใช้งานทำการค้นหาข้อมูลแล้วสามารถหาเจอ หรือมีการจัดทำเป็นรูปแบบพิเศษ เช่น POI ร้านอาหารแนะนำ เป็นต้น ถึงขนาดมีการติดต่อเข้าไปยังบริษัทที่ทำอุปกรณ์เหล่านี้เพื่อขอเพิ่มตำแหน่งของตัวเองเข้าไปในฐานข้อมูลด้วย

จะเห็นได้ว่าในปัจจุบันนี้อุปกรณ์ GPS เพื่อการนำทางทั้งในรูปแบบที่เป็น PND, OEM ในรถยนต์ หรือแม้กระทั่งที่มีอยู่ในโทรศัพท์มือถือสามารถที่จะใช้เป็นเครื่องมือหนึ่งทางด้านการตลาดที่จะทำให้ลูกค้ารู้จัก หรือสามารถเข้าถึงกิจการต่าง ๆ ที่เราต้องการได้โดยง่ายดายด้วย และนับวันก็จะมีแต่การขยายความสามารถในส่วนนี้เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ

นอกเหนือไปจากการทำการตลาดผ่านทางอุปกรณ์ GPS แล้ว ยังมีอีกเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับ GPS ที่น่าสนใจ และสามารถก่อให้เกิดประโยชน์ทางธุรกิจได้เป็นอย่างดี สิ่งนั้นก็คือระบบ Tracking หรือระบบติดตามยานพาหนะนั่นเอง ซึ่งเป็นระบบที่มีการติดตั้งอุปกรณ์ GPS ในรถยนต์เพื่อทำให้ทราบตำแหน่งของรถยนต์ นอกจากนี้ยังมีการส่งตำแหน่งดังกล่าวกลับมายังศูนย์เพื่อให้เราสามารถทราบตำแหน่ง หรือการเคลื่อนตัวของรถยนต์ในทุกช่วงเวลาอีกด้วย ทำให้เราสามารถทำการตรวจสอบการขับรถของพนักงานเพื่อความปลอดภัยของสินค้าที่นำส่ง หรือการตรวจสอบในรูปแบบต่าง ๆ ได้

ข้อแตกต่างที่สำคัญระหว่าง GPS เพื่อการนำทางกับระบบ Tracking ก็คือ GPS เพื่อการนำทางจะถูกใช้งานโดยคนที่อยู่ในรถ แต่ระบบ Tracking จะถูกใช้งานโดยคนที่อยู่ภายนอกรถที่ต้องการทราบตำแหน่งของรถนั่นเอง โดยรายละเอียดของระบบ Tracking นั้น หากมีผู้สนใจผมจะมาเล่าให้ฟังในโอกาสต่อไปนะครับ


ที่มา
GPS กับการตลาด(บทความโดย ชาญณรงค์ ธีระโรจนารัตน์ www.esrith.com
http://www.manager.co.th/Cyberbiz/ViewNews.aspx?NewsID=9520000141287

E-Commerce สำหรับวัยรุ่นไทย ยากเกินจะเป็นไปได้


Presenter หรือนายแบบ นางแบบ มีผลต่อการเลือกสินค้าสำหรับวัยรุ่น ภาพจาก http://www.ready4girl.com/

"เด็กดีดอทคอม"คือชื่อที่คุ้นหูคนเล่นอินเทอร์เน็ตชาวไทยจำนวนหลายล้านคนทั่วประเทศ วันนี้เราได้รับเกียรติจากผู้บริหารบริษัท เด็กดี อินเตอร์แอคทีฟ จำกัด เพื่อแนะแนวทางการทำอีคอมเมิร์ชสำหรับเจาะตลาดวัยรุ่นไทย ซึ่งเรามั่นใจว่าจะเป็นการติดอาวุธที่นักล่าฝันอีคอมเมิร์ชไทยไม่ควรพลาด



ในยุคที่อีคอมเมิร์ซในไทยกำลังโตวันโตคืน ได้รับความนิยมจากสินค้าบริการต่างๆ ตั๋วเครื่องบิน ที่พักโรงแรม สินค้ามือสองต่างๆ ฯลฯ แต่กลับมีตลาดกลุ่มหนึ่งที่อีคอมเมิร์ซเข้าถึงได้น้อยมาก ทั้งๆที่เป็นกลุ่มที่มีขนาดใหญ่มากที่สุดของผู้ใช้อินเตอร์เน็ตในไทย นั่นก็คือกลุ่มวัยทีน 13-18 ปี หรือวัยเรียน ในระดับมัธยมศึกษา วันนี้จะมาเล่าให้ฟังจากประสบการณ์ ให้ทุกท่านมองเห็นภาพของการทำอีคอมเมิร์ซสำหรับวัยรุ่นนั้นให้ชัดเจนมากขึ้น อาจจะดูเหมือนเรื่องง่ายๆที่ใช้คอมมอนเซ้นส์คาดเด่าได้ แต่ถ้าไม่รู้ถึงความต้องการของวัยรุ่นจริงๆอาจจะพลอยเจ็บตัวได้ง่ายๆ

สิ่งแรกที่ใครๆมักจะถาม คือ วัยรุ่นคิดจะซื้อของในอินเตอร์เน็ตไหม?

ดูเผินๆวัยรุ่นดูเหมือนเป็นพลังเงียบด้านการซื้อของในอินเตอร์เน็ตนะครับ อัตราความต้องการบริโภคสินค้าและบริการต่างๆมีสูงไม่แพ้ผู้ใหญ่แน่นอน หากแต่มีข้อจำกัดคือไม่สามารถหารายได้ด้วยตนเองได้

นี่จึงเป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้หลายๆคนสรุปว่าวัยรุ่นไม่มีกำลังซื้อ เป็นกลุ่มที่ไม่น่าสนใจเสียเท่าไหร่ แต่แท้จริงแล้ว วัยรุ่นบางคนขอเงินพ่อแม่ได้ บางคนเก็บสะสมค่าขนมวันละเล็กละน้อยจนมีเงินเป็นก้อนก็มี และที่สำคัญวัยรุ่นเกือบทั้งหมดจะมีความรู้สึกว่าตัวเองโตแล้ว และมีความต้องการในการตัดสินใจเลือกซื้อของต่างๆด้วยตนเองเหมือนที่ผู้ใหญ่ทำได้

แล้วของอะไรที่วัยรุ่นอยากได้?

แน่นอน ชีวิตของเด็กวัยรุ่นไทยนั้นวนเวียนเกี่ยวกับข้องสถานที่และสถานการณ์ไม่กี่อย่าง ได้แก่ บ้าน โรงเรียน สถาบันกวดวิชา และที่เที่ยวแบบวัยรุ่น ห้างสรรพสินค้า สวนสนุก สยามฯ

จากการสำรวจความต้องการของวัยรุ่น ว่าอะไรบ้างที่วัยรุ่นต้องการในชีวิตประจำวัน โดยไม่ได้กำหนดขอบเขตว่าจะต้องเป็นสินค้าที่จำหน่ายได้ในโลกออนไลน์เท่านั้น เราได้พบว่า ประเภทสิ่งของเพื่อตอบสนองความต้องการของวัยรุ่นหนีไม่พ้นสามประเภทนี้ ครับ

- สิ่งที่เกี่ยวกับการเรียน หนังสือ เครื่องเขียน คอร์สเรียน
- สิ่งเพื่อความบันเทิงและพักผ่อนหย่อนใจ หนังสือ การ์ตูน ภาพยนต์ เกมส์ ละคร เพลง กีฬา
- สิ่งที่เกี่ยวข้องกับภาพลักษณ์ของตัวเอง เครื่องสำอาง เครื่องประดับ เครื่องแต่งกาย

เมื่อเรารู้ประเภทแล้ว ถามตรงๆเลยว่า ถ้างั้นเอามาจัดร้านขายในอินเตอร์เน็ตเลยได้หรือไม่?

คำตอบก็คือว่าขายได้ แต่คงไม่ทุกชนิดแน่นอน

การที่วัยรุ่นจะเลือกซื้อของในอินเตอร์เน็ตจะมีวิธีการคิดที่แตกต่างจากวัยผู้ใหญ่อยู่บ้าง ปกติเราจะทราบกันว่า เวลาจะขายของผ่านอินเตอร์เน็ตให้วัยผู้ใหญ่ สิ่งที่สำคัญคือ ราคาถูกกว่าซื้อตามร้านค้า เว็บไซต์ร้านค้าดูน่าเชื่อถือ สินค้ามีลิขสิทธิ์ได้รับการยอมรับจากต่างประเทศ มีการรับประกันสินค้า มีการจัดส่งที่ดี หาซื้อยาก เช่น เป็นของสะสม ฯลฯ

สำหรับวัยรุ่นนั้น จะแตกต่างออกไป วิธีคิดจะไม่ซับซ้อนแบบผู้ใหญ่ครับ

เว็บไซต์ที่ขายของที่ราคาถูกกว่าการไปซื้อจ่ากร้านค้า อาจไม่สามารถรับประกันได้ว่าวัยรุ่นจะซื้อ รวมไปถึงการที่เว็บไซต์ร้านค้าสวยงามดูน่าเชื่อถือ การจำหน่ายสินค้าที่มีลิขสิทธิ์ ต่างก็ไม่สำคัญสำหรับวัยรุ่นสักเท่าไหร่

สิ่งที่ผมพบเจอมาจากประสบการณ์ที่ได้คลุกคลีกับวัยรุ่นนั้นจะพบว่าการตัดสินใจซื้อสินค้าผ่านอินเตอร์เน็ตของวัยรุ่น จะอยู่ที่ความรู้สึกต่อ Product เป็นสำคัญซึ่งมีผลมาจากด้านจิตวิทยาของวัยรุ่น สินค้าประเภทที่ทำให้ผู้ใช้ดูดีเป็นที่ชื่นชมจากผู้อื่นทั้งการชื่นชมทางตรงและทางอ้อม

สินค้าประเภทการชื่นชมทางตรงส่วนใหญ่เป็นการใช้สินค้าที่กำลังฮิต อยู่ในกระแส เครื่องเขียนกิฟต์ช้อปน่ารักๆ เครื่องประดับตุ้มหู ต่างหู รองเท้า คอนแทคเลนส์บิ๊กอาย นาฬิกาแฟชั่น เสื้อผ้าอิมพอร์ตจากเกาหลี ยิ่งสามารถการันตีได้ว่าเป็นแบบเดียวกับที่ดาราดังใส่ใน ซีรีส์เกาหลี ญี่ปุ่นยิ่งต้องหามาเป็นเจ้าของให้ได้

นอกจากนี้สินค้าที่สามารถสร้างการชื่นชมไม่จำเป็นต้องเป็นสิ่งที่เป็นผลิตภัณฑ์ที่จับต้องได้ในชีวิตจริง แต่การขายไอเทมบนเกมส์ ชุดแต่งกายของตัวละครอวาร์ตาร์ ก็มีความเป็นไปได้ที่จะรับการตอบรับจากวัยรุ่นเช่นกัน เพราะมีโอกาสได้รับการชื่นชมจากผู้พบเห็นได้

สำหรับสินค้าที่สร้างการชื่นชมทางอ้อม มักเป็นการช่วยเสริมสร้างภาพลักษณ์ให้ดูดี เช่น การใช้เครื่องสำอางแล้วทำให้ผิวหน้าดูดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเครื่องสำอางนั้นได้รับการพูดปากต่อปากกันในอินเตอร์เน็ตว่าใช้แล้วได้ผลดี

สิ่งที่นักอีคอมเมิร์ซจำเป็นต้องทำนอกเหนือจากการขายสินค้าคือเรื่องของ Emotional Feeling ของผู้ใช้ที่ทำให้เกิดความภาคภูมิใจชื่นชมตัวเอง และคาดหวังว่าจะได้รับคำชื่นชมจากผู้คนรอบข้างเช่นกัน ตัวอย่างเช่น ถ้าน้องๆวัยรุ่นคนไหนได้ใช้สินค้านี้แล้ว ทุกคนจะมองเขาหรือเธอว่าเป็นคนน่ารักคิกขุ สดใส หวานแหวว หรือ อบอุ่น เป็นต้น

นอกจากนี้แล้วการต้องการความชื่นชมยังต่อยอดไปถึงการรวมกลุ่มของคนที่ชอบอะไรเหมือนๆกัน มีประสบการณ์ในบางสิ่งร่วมกันอีกด้วย

"สินค้าประเภทที่ผู้ซื้อปลื้มมาก"ก็เป็นอีกสิ่งที่น่าสนใจ เพราะสินค้าประเภทนี้ น้องๆวัยรุ่นจะอยากได้มากๆ และยอมที่จะซื้อแม้ว่าวิธีการชำระเงินจะยุ่งยากเพียงใด ราคาจะแพงเพียงใด หรือจะต้องรอส่งสินค้าจะต้องรอนานเท่าไหร่ก็ยอมทน

มักจะเป็นสินค้าที่เกี่ยวกับดารานักร้องศิลปิน วงที่ชื่นชอบ ตัวละครการ์ตูนที่ตัวเองชอบมาก ในรูปแบบของพรีเมี่ยมต่างๆ CD,DVD Limited Edition ตั๋วสำหรับการ Meet&Greet ตั๋วสำหรับชมการแสดงต่างๆ ของดารานักร้องศิลปินที่ปลื้ม ยิ่งหาซื้อยากเท่าไหร่ยิ่งมีโอกาสฮิตในอินเตอร์เน็ตมากเท่านั้น เพราะหมดยุคแล้วสำหรับการที่จะต้องไปออกตระเวนตามที่ต่างๆเพื่อหาของที่พวกเขาปลาบปลื้ม พวกเขาใช้เพียง Google ในการค้นหา ค้นเจอที่ไหนที่นั่นก็จะได้ลูกค้าวัยรุ่นไป

หากลองวิเคราะห์ดูจะพบว่าคุณสมบัติของสินค้าทั้งสองประเภท จะพบได้ว่าวัยรุ่นให้ความใส่ใจกับ Branding สูงมาก เพราะจะเป็นความรู้สึกและประสบการณ์ที่วัยรุ่นสัมผัสได้ และยังสามารถช่วยต่อยอดสู่ Brand Loyalty ได้อีกมากมาย

ดังนั้นหากคุณอยากขายสินค้าให้วัยรุ่นในอินเตอร์เน็ตอย่าลืมสร้างแบรนด์ให้วัยรุ่นจดจำด้วยนะครับ สำคัญมาก

ถามว่าแล้วสินค้าที่ได้รับความชื่นชมและเป็นที่ปลาบปลื้ม แต่เป็นสินค้าประเภทดาวน์โหลดละขายได้ไหม? คำตอบคือยากมาก

การขายสิทธิ์ในการดาวน์โหลดประเภทเพลง รูปภาพ คลิปวีดีโอ รวมแม้กระทั่ง Mobile Download อย่าง ริงโทน เกมส์ กราฟิกบนโทรศัพท์มือถือ ล้วนเป็นสิ่งที่ขายได้ยากมากสำหรับวัยรุ่น เพราะวัยรุ่นมีความรู้สึกว่าสิ่งเหล่านี้หาได้ฟรีๆ ในอินเตอร์เน็ต จึงไม่มีความจำเป็นจะต้องจ่ายเงินซื้อผ่านอินเตอร์เน็ต ไม่ว่ากรณีใดๆ

เมื่อคุณเลือกสินค้าที่จะทำอีคอมเมิร์ซกับลูกค้าวัยรุ่นของคุณได้แล้ว ถือว่าคุณมีโอกาสประสบความสำเร็จขั้นหนึ่งแล้ว ในขั้นต่อไปยังมีอุปสรรคสำคัญที่คุณยังต้องเผชิญกับปัญหา เรื่องช่องทางการจ่ายเงินสำหรับวัยรุ่น

ปกติการเรื่องช่องทางการจ่ายเงินสำหรับผู้ใหญ่ก็ปวดหัวมากแล้ว แต่สำหรับวัยรุ่นนั้นหนักหนายิ่งกว่าเพราะมีข้อจำกัดสูงมาก เรามาลองพิจารณาช่องทางที่เป็นไปได้ในประเทศไทยกันดู

1 บัตรเครดิต ไม่ต้องพูดถึงครับ วัยรุ่นอายุไม่ถึงที่จะทำบัตรเครดิตแน่นอน หรือบางคนอาจจะมีบัตรเสริมจากผู้ปกครอง ซึ่งจะมีสัดส่วนที่น้อยมากจนเรียกได้ว่าแทบไม่มี

2 บัตรเดบิต ดูเหมือนจะเป็นช่องทางที่เป็นไปได้นะครับ เพราะบัตรเดบิต มันก็คือบัตร ATM นั่นเอง เด็กวัยรุ่นไม่น้อยนะครับ ถามว่าวัยรุ่นกล้าที่ใช้เดบิตรูดไม๊ ใจก็ยังกล้าๆกลัวๆอยู่ครับ คงไม่ต่างจากผู้ใหญ่ ที่รูดปั๊บเงินหายปุ๊บ แต่จุดสำคัญที่ต้องปวดหัวไม่แพ้กันคือ บัตรเดบิต ATM ของหลายๆธนาคาร ไม่ได้รับอนุญาตในการรูดซื้อของบนอินเตอร์เน็ตได้เช่นเดียวกับบัตรเครดิต

3 โอนเงินเข้าบัญชี เป็นหนึ่งอย่างที่วัยรุ่นจะคุ้นเคยและไว้ใจ เพราะจะสมัครคอร์สเรียนพิเศษหลายๆสถาบัน จะต้องใช้วิธีโอนเข้าบัญชีธนาคาร แต่แทบทั้งหมดจะได้รับการโอนโดยผู้ปกครองเสียมากกว่า ข้อดีที่ส่งผลมาจากความไว้ใจ ทำให้โอกาสในการขายสินค้ากับวัยรุ่นที่ราคาสูง เกิน 500 -1000 บาทขึ้นไปเป็นไปได้มากยิ่งขึ้น แต่ถ้าซื้อสินค้าราคาไม่ถึง 100 บาท และให้ไปโอนบัญชีธนาคารก็คงดูขัดๆเล็กน้อย

4 จ่ายผ่านโทรศัพท์มือถือ ว้าว ดูเป็นวิธีการที่น่าสนใจนะครับ ดูเหมือนน้องๆวัยรุ่นจะมีโทรศัพท์มือถือกันเกือบทุกคนแล้ว น่าจะแค่กดๆแล้วจ่ายได้เลยสะดวกมาก เห็นในรายการ Reality โชว์ วัยรุ่นโหวตกันกระจายเลย ครั้งละ 9 บาท 10 บาท แต่อ๊ะๆ ถ้าลองเข้าไปสำรวจวัยรุ่นจริงๆ จะพบว่าน้องๆจำนวนมากใช้ Pre Paid กัน และเติมเงินไว้ในเบอร์โทรศัพท์น้อยมากครับ หาได้น้อยคนมากที่จะใช้เติมค่าโทรศัพท์ไว้เฉลี่ย 50-100 บาท ต่อเดือนเพื่อใช้รับสายเวลาผู้ปกครองโทรมาเท่านั้น แทบไม่ได้ใช้โทรออก

นี่จึงเป็นอีกคำตอบว่าอาจจะยากหน่อย ถ้าจะใช้ช่องทางนี้อาจจะเหมาะกับสินค้าหรือบริการที่มูลค่าต่ำๆ 20-30 บาท

5 ชำระผ่านเคาน์เตอร์เซอร์วิซ จากประสบการณ์คิดว่าเป็นช่องทางที่เด็กไว้ใจมากที่สุดแล้ว โดยเฉพาะถ้าเป็นเคาน์เตอร์ ที่เด็กคุ้นเคยอย่างมินิมาร์ทชื่อดังต่างๆ การจะขายสินค้า 200 บาทขึ้นไปดูไม่ใช่เรื่องยากสำหรับวัยรุ่นอีกต่อไป ข้อเสียก็คือคุณต้องเสียค่าธรรมเนียมให้เคาน์เตอร์เซอร์วิซด้วย

6 สินค้ามาส่งที่บ้าน และชำระเงินเมื่อได้รับและตรวจสอบสินค้า เป็นวิธีที่อยู่ระหว่างกลางกับการขายของรูปแบบเดิมๆกับอีคอมเมิร์ซ เป็นอะไรที่ซื้อขายสะดวก แต่ก็สร้างภาระให้ผู้ขายพอสมควร

ทั้งหมดนี่เป็นเพียงเบื้องต้นที่คุณอาจหลีกเลี่ยงไม่ได้หากต้องการทำอีคอมเมิร์ซสำหรับวัยรุ่น โดยเฉพาะวัยรุ่นไทย

สิ่งที่สำคัญคือคุณจำเป็นต้องศึกษาพฤติกรรมความต้องการ และข้อจำกัดที่แท้จริงของวัยรุ่น โดยการคลุกคลีกับวัยรุ่น

อย่าพยายามคาดเดาเองว่าสมัยคุณเป็นวัยรุ่นอยากได้แบบนั้น แบบนี้ และจึงได้ยัดเยียดระบบ รูปแบบต่างๆที่วัยรุ่นไม่ต้องการ เพราะสุดท้ายคุณอาจจะเป็นอีกคนหนึงที่ว่า “อีคอมเมิร์ซสำหรับวัยรุ่นเป็นเรื่องยากเกินไป”

ทั้งที่จริงแล้วมันไม่ยากเลยครับ

ที่มา
“E-Commerce สำหรับวัยรุ่นไทย ยากเกินจะเป็นไปได้?” (บทความโดย ปกรณ์ สันติสุนทรกุล www.dek-d.com)
http://www.manager.co.th/Cyberbiz/ViewNews.aspx?NewsID=9520000145052

รวยด้วย"สมาร์ทโฟนรับรูดปรี้ด"

รวยด้วย"สมาร์ทโฟนรับรูดปรี้ด"

ในยุคที่คนไทยหลายคนไม่มั่นใจกับการกรอกเลขบัตรเครดิตเพื่อจับจ่ายออนไลน์ การเปลี่ยนโทรศัพท์มือถือให้กลายเป็น"เครื่องรับรูดปรื้ด"หรือเครื่องรับชำระเงินด้วยบัตรเครดิต อาจเป็นคำตอบที่ธุรกิจอีคอมเมิร์ชไม่ควรมองข้าม เพราะด้วยวิธีนี้ พนักงานส่งสินค้าจะสามารถรับชำระเงินแบบตัวต่อตัวกับลูกค้าที่ปลายทาง ปลอดภัยกว่าด้วยการเซ็นชื่อบนหน้าจอสัมผัสของสมาร์ทโฟน น่าเชื่อถือและเพิ่มความมั่นใจได้ดีกว่าการกรอกหมายเลขบัตรเครดิตเดิมๆอย่างเห็นได้ชัด

เทคโนโลยี "สมาร์ทโฟนรับรูดปรื้ด" ที่เกิดขึ้นไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่ความพิเศษของเรื่องนี้คือการที่ปัจจัยแวดล้อมในตลาดล้วนส่งเสริมให้เทคโนโลยีนี้กลายเป็นเรื่องใกล้ตัวและมีอนาคตแพร่หลายยิ่งขึ้นในขณะนี้ ทั้งหมดเป็นสิ่งที่ชาวอีคอมเมิร์ชทุกคนควรเรียนรู้ เพราะนี่คือหนึ่งในหนทางสดใสของการขับไล่ความกลัวออกจากใจชาวไทยที่ยังหวั่นๆกับระบบจ่ายเงินออนไลน์

ตลอดช่วงระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมาความพยายามที่จะนำอุปกรณ์สื่อสารไร้สายมาประยุกต์ใช้ทำธุรกรรมด้านการเงินนั้น (Wireless Payment Solution) มีให้เห็นอย่างต่อเนื่อง หนึ่งในรูปแบบที่น่าสนใจ คือ การนำอุปกรณ์ไร้สายมารับชำระค่าสินค้าหรือบริการผ่านบัตรเครดิต พูดง่ายๆ ก็คือเครื่องรูดบัตรเครดิตไร้สายดีๆนี่เอง ซึ่งถือเป็นอีกทางเลือกหนึ่งในกรณีที่สถานที่นั้นไม่สะดวกในการเชื่อมโยงข้อมูลผ่านโครงข่ายแบบมีสายไม่ว่าจะเป็นแบบ Dial Up, ADSL หรือ Leased Line ก็ตาม

โดยอุปกรณ์ดังกล่าวสามารถที่จะใส่ซิมการ์ดและโอนถ่ายข้อมูลผ่านโครงข่ายโทรศัพท์มือถือ GPRS/EDGE ได้ บางส่วนมีรูปลักษณ์ภายนอกเหมือนเครื่องรูดบัตรที่จุดจำหน่ายสินค้าหรือ Point-of-Sale (POS) ทั่วๆไป ไม่เหมือนโทรศัพท์ (ถึงแม้จะสามารถใส่ Small-Talk เพื่อใช้ในการคุยได้ก็ตาม) อย่างเช่น อุปกรณ์ของบริษัท Spectra Technologies (ดังรูป)

ขณะที่อุปกรณ์อีกกลุ่มนั้นดูสะดวกและง่ายต่อการพกพามากกว่า โดยดัดแปลงนำเครื่องโทรศัพท์มือถือมาเชื่อมต่อกับอุปกรณ์อ่านบัตรเครดิตทั้งแบบชิปการ์ดและแบบแถบแม่เหล็กโดยตรง พร้อมอุปกรณ์เสริม ทั้ง PINPad เพื่อให้ลุกค้าป้อน PIN เอง โดยมีเครื่อง Printer ขนาดพกพาสำหรับพิมพ์ใบเสร็จครบเครื่อง

อุปกรณ์ที่พูดมานี้เหมาะสมกับธุรกิจประเภทที่ต้องมีพนักงานจัดส่งสินค้า Delivery และพนักงานขายที่ต้องเดินทางอยู่เสมอ

กรณีศึกษาที่น่าสนใจคือ อุปกรณ์ของบริษัท WAY Systems ที่นำเสนอโซลูชันอย่าง Mobile Point-of-Sale (POS) มากว่า 8 ปี โดยมีกลยุทธ์นำรุ่นโทรศัพท์มือถือชื่อดังผลิตในยุโรปที่มีราคาไม่สูงนักและเชื่อมต่อเข้าเครือข่าย GPRS ได้ เข้ามาตีตลาดและได้รับความนิยมในประเทศสหรัฐอเมริกาพอสมควร

อย่างไรก็ตามโซลูชันแบบที่นำเครื่องโทรศัพท์มือถือมาใช้งานก็ยังไม่เป็นที่รู้จักแพร่หลายทั่วโลก ในเวลานั้นเรียกได้ว่าโอกาสที่หลายประเทศจะหามาใช้ไม่ใช่เรื่องง่าย ถึงแม้จะกำเนิดขึ้นมาหลายปีแล้วก็ตาม อันเนื่องมาจากหลายปัจจัย อันได้แก่

-ความพร้อมด้านโครงข่ายข้อมูลไร้สายของแต่ละประเทศในอดีตที่เหลื่อมล้ำกัน

-ความมั่นใจในเรื่องระบบรักษาความปลอดภัยของข้อมูลบัตรเครดิตในอดีตยังมีน้อยกว่าปัจจุบันมาก

-ถูกจำกัดอยู่กับรุ่นโทรศัพท์บางรุ่นที่บริษัทผู้ให้บริการกำหนด และเป็นลักษณะการขายแบบ Total Solution คือต้องซื้อพร้อมเครื่องโทรศัพท์เฉพาะรุ่นที่ลงแอพพลิเคชันดังกล่าวไว้เท่านั้น

แต่ปัจจุบันเนื่องด้วยความแพร่หลายของเครื่องโทรศัพท์สมาร์ทโฟนอย่าง iPhone พร้อมกับการที่บริษัท Apple เปิดโอกาสให้นักพัฒนาที่สนใจ สามารถเข้าไปพัฒนาแอปพลิเคชันได้ตามต้องการ

ประกอบกับความพร้อมด้านโครงข่ายข้อมูลไร้สายในปัจจุบัน จึงเป็นโอกาสทองจูงใจให้หลายบริษัทที่สนใจนำอุปกรณ์เสริม พร้อมแอปพลิเคชันไปต่อยอดในเครื่อง iPhone

ในปี 2010 นี้ ผู้ใช้ในสหรัฐอเมริกาจะมีโอกาสได้เห็นการนำเครื่อง iPhone ทำหน้าที่เป็นเครื่องรูดบัตรเครดิตได้ จากผู้ให้บริการหลายราย ดังเช่น หนึ่งในผู้ก่อตั้ง Twitter ชื่อดัง Jack Dorsey รายนี้โดดเข้าร่วมตลาดในนามของ Square เพียงนำอุปกรณ์สีขาวเล็กๆที่ใช้อ่านบัตรเครดิตติดเข้ากับช่องเสียบหูฟังของ iPhone หรือ iPod Touch ที่มีการลงแอปพลิเคชันของ Square ไว้ ผู้ใช้สามารถทำการรูดบัตร, ระบุจำนวนเงินที่ต้องการชำระ ในส่วนของการยืนยันตัวบุคคลผู้ซื้อสามารถเซ็นลายเซ็นผ่านหน้าจอสัมผัส และยังมีการยืนยันตัวบุคคลจากรูปภาพได้

สุดท้าย ยีงสามารถกรอกอีเมล์เพื่อให้ระบบส่งใบเสร็จดิจิตอลไปให้ผู้ซื้อ ซึ่งใบเสร็จนี้มีข้อมูลสำคัญๆว่าซื้ออะไร ราคาเท่าไหร่ และจากที่ไหนแล้ว มิหนำซ้ำยังมีการแสดงแผนที่ของร้านที่เราไปซื้ออีกด้วย

นอกจากนี้บริษัทมีระบบสนับสนุน Customer Loyalty Program ที่กำลังเป็นกลยุทธ์ซึ่งได้รับความนิยมเพื่อใช้รักษาฐานลูกค้าเอาไว้ โดยทางร้านค้าจะสามารถทราบได้ว่าลูกค้าคนดังกล่าวมาใช้บริการบ่อยแค่ไหน เพื่อนำมาจัดแคมเปญสะสมคะแนนเพื่อแลกของต่างๆได้

ในด้านของแผนธุรกิจ Square เปิดเผยว่า มีแผนจะแจกอุปกรณ์ดังกล่าวฟรี แต่จะคิดค่าใช้จ่ายจากการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิต แทนซึ่งเป็นลักษณะของแผนธุรกิจที่หารายได้ระยะยาว และมักนำมาใข้เสมอในธุรกิจสายนี้ อย่างไรก็ตามยังไม่มีการเปิดเผยข้อมูลออกมาเป็นตัวเลขที่ชัดเจน

อีกบริษัทคือ VeriFone ที่เปิดให้บริการลักษณะคล้ายๆกันมีชื่อว่า PAYware Mobile นำเสนออุปกรณ์ที่มีรูปร่างแตกต่างกันคือเป็นการสวมกรอบที่ค่อนข้างใหญ่และแข็งแรงกว่าเข้าไปยังตัวเครื่อง iPhone ที่ลงแอปพลิเคชันของทาง VeriFone ไว้แล้ว และเพิ่มความสะดวกในการเซ็นลายเซ็นมากขึ้นด้วยการใช้ปากกาที่ให้มาพร้อมกัน

ในด้านของแผนธุรกิจทาง VeriFone เปิดเผยข้อมูลที่ค่อนข้างชัดเจนว่า ร้านค้าที่ต้องการเปิดใช้บริการดังกล่าว จะได้รับเครื่องฟรีแต่ต้องมีข้อผูกพันว่าต้องเปิดใช้บริการนาน 2 ปี เสียค่าเปิดบริการอยู่ที่ 49 เหรียญสหรัฐ มีค่ารายเดือน 15 เหรียญสหรัฐ และ 17 เซนต่อการใช้งานแต่ละครั้ง นอกจากนี้ VeriFone ประกาศว่าในอนาคตจะขยายบริการดังกล่าวไปยังระบบปฎิการณ์อื่นๆ อย่างเช่น BlackBerry ,Android และ Window Mobile อีกด้วย

ล่าสุด Mophie บริษัทจำหน่ายอุปกรณ์เสริมของ iPhone และ iPod ก็ไม่น้อยหน้า ให้ข่าวว่าจะออกอุปกรณ์ในลักษณะของเคส ใส่ให้กับเครื่อง iPhone โดยเน้นความบางของอุปกรณ์เสริมดังกล่าว แต่ยังไม่มีการเปิดเผยข้อมูลในเรื่องของแผนธุรกิจในเวลานี้

พิสูจน์ได้ว่าในช่วงระยะเวลาอันสั้น กระแสแนวโน้มการเพิ่มขึ้นของบริษัทที่นำเสนอโซลูชันเปลี่ยนโทรศัพท์มือถือให้เป็นเครื่องรูดบัตรเครดิตนี้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นผลดีต่อทั้งร้านค้าและผู้ใช้บริการ

อย่างไรก็ตาม บริการดังกล่าวถือว่าเหมาะสมในประเทศที่นิยมใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตกันเป็นประจำ แม้ว่าจะเป็นรายการซื้อสินค้าด้วยเงินจำนวนไม่มากก็ตาม (Micropayment) เช่น ในสหรัฐอเมริกา เป็นต้น ในกรณีของประเทศไทยยังต้องใช้เวลาในการสร้างความเชื่อมั่นให้กับร้านค้าทั้งด้านประสิทธิภาพของโซลูชันดังกล่าว และด้านความปลอดภัยของข้อมูลให้กับผู้ใช้

เรื่องราวสำหรับธุรกรรมการเงินผ่านอุปกรณ์ไร้สายที่เล่ามายังมีเรื่องน่าสนใจอีกมาก เช่น มีข่าวว่า Apple จะมีการออก iPhone ตัวใหม่ที่มี RFID Reader ด้วย เมื่อลองคิดดูว่าจะมีแอปพลิเคชันใหม่ๆเกิดขึ้นอีกสักเท่าไร ก็พบว่าน่าตื่นเต้นไม่ใช่น้อยเลยค่ะ




Mophie บริษัทค้าปลีกเกี่ยวกับอุปกรณ์เสริมของ iPhone และ iPod ระบุว่าจะออกอุปกรณ์อ่านบัตรเครดิตเพื่อไอโฟนในลักษณะของเคส ใส่ให้กับเครื่อง iPhone

ที่มา
เปลี่ยนโทรศัพท์มือถือเป็นเครื่องรูดบัตรเครดิต ไม่ใช่เรื่องไกลเกินตัว (บทความโดย อรนุช เลิศสุวรรณกิจ mimeeja.wordpress.com)
http://www.manager.co.th/Cyberbiz/ViewNews.aspx?NewsID=9530000003379

แอบดูญี่ปุ่นจ่ายเงินด้วยมือถือ

หลายคนยกให้ประเทศญี่ปุ่นเป็นเบอร์หนึ่งของประเทศที่มีการใช้งานระบบจ่ายเงินด้วยการ"วาง"โทรศัพท์มือถือไว้บนเครื่องอ่าน สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่ความสะดวกสบายของประชากรแดนปลาดิบอย่างเดียว แต่เป็นการกระตุ้นให้ระบบอี-คอมเมิร์สในชาติเติบโตยิ่งขึ้นด้วย

จริงหรือไม่อย่างไรไปดูกัน



ระบบของกระเป๋าสตางค์ในร่างโทรโทรศัพท์ที่มีใช้แพร่หลายในญี่ปุ่น เรียกว่าโทรศัพท์เครื่องเดียวเดินเปรี้ยวได้ทั้งวัน และตอนนี้ก็กำลังจะกลายเป็นช่องทางมาตรฐานหนึ่งในการทำธุรกรรมของเว็บไซต์อี-คอมเมิร์สในญี่ปุ่น

สืบเนื่องจากตอนก่อนหน้าในคอลัมน์ Cyberbiz ได้พูดถึงเทคโนโลยีที่เปลี่ยนโทรศัพท์เคลื่อนที่ ให้กลายเป็น “เครื่องรับรูดปรื้ด” หรือเครื่องรับชำระเงินด้วยบัตรเครดิต แต่ในความเป็นจริงแล้ว คนที่ต้องการทำธุรกรรมกับเว็บไซค์อี-คอมเมิร์สนั้นไม่ใช่ทุกคนที่จะมีบัตรเครดิต แต่คนส่วนใหญ่นั้น มักจะมีโทรศัพท์เคลื่อนที่อยู่ในมือ

ก็เพราะความจริงมันเป็นแบบนี้ ในอีกมุมหนึ่งของโลก ก็เลยมีเทคโนโลยีที่มีแนวคิดที่ว่าจะเปลี่ยนโทรศัพท์ให้กลายเป็นกระเป๋าสตางค์เคลื่อนที่

ครับ...เทคโนโลยีที่เปลี่ยนโทรศัพท์เคลื่อนที่ให้กลายเป็นกระเป๋าสตางค์นั้นได้กลายเป็นมาตรฐานการรับชำระเงินอย่างหนึ่งในประเทศญี่ปุ่นมาพักใหญ่แล้ว โดยมีชื่อเรียกว่า Osaifu-Ketai (mobile phones with wallet functions) หรือถ้าจะเรียกเป็นภาษาไทยแบบลูกทุ่งว่า กระเป๋าสตางค์สิงร่างโทรศัพท์ก็น่าจะพอได้อยู่

หัวใจของกระเป๋าสตางค์ในร่างโทรโทรศัพท์ คือเทคโนโลยีที่เรียกว่า “Near Field Communication” ซึ่งระบบนี้ต้องอาศัยโทรศัพท์ที่ออกมาแบบพิเศษ โดยมีตัวรับสัญญาณอยู่ภายใน

วิธีการใช้ก็แค่นำไปทาบที่เครื่องรับสัญญาณ เมื่อการทำธุรกรรมเสร็จสิ้นแล้ว เงินจะถูกหักผ่านตัวกลางที่ทำหน้าที่เป็นกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งผู้ใช้ต้องลงทะเบียนไว้ล่วงหน้า และมีการผูกบัญชีไว้กับธนาคาร บัตรเครดิต หรือว่าหักจากยอดเงินเงินคงเหลือในโทรศัพท์ เป็นที่เรียบร้อยก่อนนำไปใช้งาน

ซึ่งในญี่ปุ่น ระบบของกระเป๋าสตางค์ในร่างโทรโทรศัพท์นี้มีใช้อย่างแพร่หลายในวงกว้าง ทั้งระบบการชำระค่าบัตรต่างๆ การซื้อสินค้าในร้านสะดวกซื้อ การขึ้นรถโดยสารขนส่งมวลชน บัตรสมาชิก เรียกว่าโทรศัพท์เครื่องเดียวเดินเปรี้ยวได้ทั้งวัน (ตราบใดที่เงินยังเหลือ) และตอนนี้ก็กำลังจะกลายเป็นช่องทางมาตรฐานหนึ่งในการทำธุรกรรมของเว็บไซต์อี-คอมเมิร์สในญี่ปุ่น

ผู้ที่ให้บริการกระเป๋าสตางค์ในร่างโทรศัพท์ในประเทศญี่ปุ่นมีอยู่หลายเจ้า แต่ที่ผมจะขอยกตัวอย่างในวันนี้ คือ “Edy” (อ่านว่า เอ็ด-ดี้)

Edy ย่อมาจาก ("Euro, Dollar, Yen") ซึ่ง Edy นั้นเป็นบริการจากบริษัท Bit Wallet ซึ่งให้บริการ E-Money หรือ กระเป๋าเงินเอิเล็กทรอนิกส์รายใหญ่ในญี่ปุ่น โดยเครือข่ายโทรศัพท์ที่สามารถใช้ได้ ก็อาทิ NTT Docomo, au และ Softbank

การใช้งาน Edy ก็ไม่ได้มีอะไรยาก คือผู้ใช้ที่สนใจบริการต้องทำการลงทะเบียนในโทรศัพท์ จากนั้นก็ต้องกรอกรหัสบัตรเครดิตหรือจะเลือกช่องทางอื่นในการหักเงินให้เป็นที่เรียบร้อยเสียก่อน จึงสามารถนำไปใช้กับร้านค้าที่มีเครื่องรับสัญญาณของ Edy

นอกจาก Edy จะให้บริการกับร้านค้าแบบออฟไลน์แล้ว ในส่วนของเว็บไซต์อี-คอมเมิร์สก็มีให้บริการแบบนี้เช่นเดียวกัน คือผู้ใช้ตามบ้านที่ต้องการจะสั่งซื้อสินค้าผ่านเว็บไซต์ที่รองรับการชำระผ่านบริการของ Edy นั้น ก็ต้องสั่งซื้อเครื่องรับสัญญาณมาติดตั้งเสียก่อน ซึ่งเครื่องรับสัญญาณในญี่ปุ่นก็มักจะเป็นของ Sony ที่ใช้เทคโนโลยีที่เรียกว่า Felica สนนราคาเครื่องรับสัญญาณตัวนี้อยู่ที่ 2,800 เยน หรือคิดเป็นเงินไทย อยู่ที่ 1000 บาทนิดๆ (ราคาขายจากเว็บ raukuten.com)

หลังจากผู้ใช้มีเครื่องนี้อยู่ในมือแล้ว ก็ต้องติดตั้งเข้ากับเครื่องคอมพิวเตอร์ และลงซอฟต์แวร์ให้เรียบร้อย จากนั้นก็เข้าไปซื้อสินค้าหรือบริการในเว็บไซต์อี-คอมเมิร์สที่รองรับ Edy เมื่อมาถึงขั้นตอนการชำระเงิน ก็เพียงวางโทรศัพท์แนบกับเครื่องรับสัญญาณ แล้วในขั้นตอนของการชำระเงินบนทางเว็บไซต์ ก็ให้เลือกเป็นช่องทางของ Edy

จากนั้นระบบจะทำการเรียกโปรแกรมที่ใช้คู่กับเครื่องรับสัญญาณ เมื่อกรอกข้อมูลและตรวจสอบข้อมูลให้ถูกต้อง การชำระเงินก็จะเกิดขึ้น

ในฝั่งของผู้ซื้อ จะได้รับข้อความยืนยันคำสั่งซื้อปรากฎขึ้นบนโทรศัพท์ผ่านทางอีเมล แล้วให้ลูกค้าเป็นผู้ยืนยันอีกครั้งหนึ่ง หาก Edy ตรวจสอบข้อมูลและการชำระเงินเสร็จ กระบวนการก็จะครบถ้วนสมบูรณ์

ลูกค้าที่ต้องตรวจสอบประวัติการทำธุรกรรมก็สามารถตรวจสอบได้ผ่านโปรแกรมของ Edy บนโทรศัพท์เคลื่อนที่ หรือโปรแกรม Edy View บนเครื่องคอมพิวเตอร์

เว็บไซต์ที่รองรับช่องทางการชำระเงินในรูปแบบนี้อาจจะยังมีไม่มากนัก คุณสามารถดูรายชื่อของเว็บไซต์อี-คอมเมิร์สในญี่ปุ่นที่รองรับเทคโนโลยีตัวนี้ในการชำระเงินได้ โดยเข้าที่ไปลิงค์นี้ครับ http://www.edy.jp/search/site/index.html

เว็บไซต์ที่รองรับส่วนใหญ่จะเป็นเว็บที่มีความพร้อมอยู่แล้ว อย่างเว็บที่คนไทยรู้จักกันดีก็ อาทิ DMM Amazon หรือว่า HMV ตัวอย่างชัดๆที่อาศัยช่องทางนี้จัดทำกิจกรรมทางการตลาด อย่างผู้ให้บริการเกมออนไลน์ บางที่ก็แจ้งว่าถ้าเติมเงินผ่านช่องทางนี้ ก็มีไอเท็มพิเศษให้ ซึ่งก็คล้ายๆกันกับในบ้านเรา

สถิติที่น่าสนใจเกี่ยวกับการเติบโตของเรื่องนี้ คือเมื่อดูย้อนหลังกลับไปตั้งแต่ช่วง ปี 2004 จนถึงปี 2007 ก็จะเห็นว่า ยอดการใช้งาน mobile e-commerce ในญี่ปุ่นอัตราสูงมีอัตราพุ่งสูงขึ้นมาเรื่อยๆ และมีแนวโน้มเติบโตน่าสนใจ ล่าสุด Softbank เองก็เพิ่งให้ข่าวมาว่า ตอนนี้มีผู้ใช้ในเครือข่ายที่มีโทรศัพท์คุณสมบัตินี้ราวๆ 10 ล้านเครื่อง และยังมียอดโตขึ้นแบบอย่างต่อเนื่อง

อีกหนึ่งข่าวที่ทำให้เราพอเห็นภาพการผนวกเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของกันและกันของกระเป๋าสตางค์โทรศัพท์กับธุรกิจอี-คอมเมิร์สอย่างชัดเจนมาก คือเมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมานั้น บริษัท Bit Wallet เจ้าของบริการ Edy ได้ทำการจัดสรรหุ้นให้กับผู้ร่วมเข้ามาถือหุ้นใหม่คือ Rakuten ซึ่งมีมูลค่ากว่าสามพันล้านเยน

Rakuten นั้นถือว่าเป็นยักษ์ใหญ่ของวงการ อี-คอมเมิร์สญี่ปุ่น ซึ่งความเคลือนไหวก่อนหน้านี้ ทาง Rakuten เองก็เคยได้ซื้อธุรกิจบัตรเครดิต KC Card เคยเปิดธุรกิจ Ebank เมื่อปี 2008 และการเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของ Edy ซึ่งเป็นผู้เล่นในตลาดเงินอิเล็กทรอนิกส์ที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่นเจ้าหนึ่ง ก็คงพอจะให้เห็นนัยอะไรบางอย่างได้อยู่

เทคโนโลยีกระเป๋าสตางค์ โทรศัพท์ อาจจะไม่ใช่คำตอบใหม่ในการรับชำระเงินของเว็บอี-คอมเมิร์ส ณ ตอนนี้ แต่ในอนาคต เทคโนโลยีนี้อาจจะเป็นอีกทางเลือกหนึ่งเมื่อระบบนี้มีการใช้งานในวงกว้าง เช่น การจับจ่ายสินค้าที่ร้านสะดวกซื้อ ขนส่งมวลชน เช่น รถไฟฟ้า รถไฟใต้ดิน หรือว่าสายการบิน และถ้ามองในภาพไกลออกไปอีก ว่าเมื่อไหร่ที่เทคโนโลยีแบบนี้กลายเป็นมาตรฐานในระดับสากล ที่มีมากับโทรศัพท์ทั่วไป ด้วยศักยภาพของผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ในบ้านเรา ก็น่าจะมีความพร้อมกันอยู่แล้ว เพราะทั้ง 3 ค่าย ต่างก็มีบริษัทลูกที่ทำเกี่ยวกับธุรกรรมทางการเงินอยู่ในมือ

ฉะนั้นสำหรับวงการอี-คอมเมิร์สไทย ถ้าจะมองช่องทางการรับชำระเงินแบบวางปั๊บรับตังค์อย่างนี้ไว้บ้าง ก็คงไม่เสียหายล่ะครับ แต่จะเกิดขึ้นและใช้ได้ “จริง” เมื่อไหร่ ยังเป็นสิ่งที่ต้องรอคอยดูคำตอบครับ

ที่มา
วางปั๊บนับตังค์ กับระบบชำระเงินผ่านกระเป๋าเงินโทรศัพท์เคลื่อนที่ (บทความโดย วรทรรศน์ วงษ์ไทย twitter : @jetboat26)
ที่มา
http://www.manager.co.th/Cyberbiz/ViewNews.aspx?NewsID=9530000010077

Color QR Code กับบทบาทในการดำเนินธุรกิจ


Louis Vuitton ออกแบบโค้ดสำหรับ QR Code

สร้างความแปลกใหม่ด้วย Color QR Code กับบทบาทในการดำเนินธุรกิจ

ต่อไปนี้ไม่ใช่ว่าทหารหรือตำรวจจะมีสีได้ฝ่ายเดียว แต่ภาพกราฟฟิกสี่เหลี่ยมจัตุรัสลายแปลกตา "QR Code" ที่เคยเป็นสีขาวดำมาตลอด นั้นกำลังถูกใส่สีเติมลวดลายในหลายตลาดทั่วโลกแล้วขณะนี้ (มันเกี่ยวกันไหมนี่ - -') สัปดาห์นี้ @yokekung จะพาทุกคนไปอัปเดทเทรนด์ใหม่เรื่อง QR Code ในตลาดโลก ซึ่งเชื่อว่าจะทำให้หลายคนปิ๊งไอเดียใหม่ในการนำ QR Code ที่เต็มไปด้วยสีสันและสไตล์มาประยุกต์ใช้กับธุรกิจของตัวเอง

ขอออกตัวล้อฟรีก่อนว่า ย่อหน้าข้างบนนี้ไม่ได้จงใจล้อเลียนคุณพี่คนมีสีเลยนะจ๊า

หลายๆครั้งที่มนุษย์คิดรูปแบบของระบบการจัดการเข้ามาเพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการสินค้า จัดการสต็อกด้วยแถบบาร์โค้ด ที่เป็นรหัสติดบนตัวสินค้า นั่นก็เพื่อเป็นการระบุข้อมูลจำเพาะของผลิตภัณฑ์นั้นๆ ตั้งแต่การผลิต ข้อมูลของสินค้า และราคา

บาร์โค้ดถูกพัฒนารูปแบบมาเป็นบาร์โค้ดแบบสองมิติภายใต้ชื่อ Quick-Response Code (QR Code) พัฒนาโดยบริษัท Denso Wave ลักษณะเป็นแถบรหัสสองมิติที่มีหน้าตาคล้ายภาพสามมิติที่เราเคยเล่นกันตอนเด็กๆ สามารถเก็บข้อมูลได้หลากหลายและมากกว่าบาร์โค้ดแบบปกติที่เป็นแท่งยาวๆ

ในการดำเนินธุรกิจ โดยเฉพาะการขายสินค้านั้น การที่ข้อมูลสินค้ามีจำนวนมาก ไม่สามารถที่จะใส่ระบุไว้บนกล่องบรรจุภัณฑ์ได้ หรือในใบปลิวโฆษณา หน้าโฆษณา ไม่มีเนื้อที่พอที่จะบรรจุข้อมูลทั้งหมดลงไปได้ ก็จะเป็นหน้าที่ของ QR Code ที่เป็นบาร์โค้ดที่บรรจุข้อมูลดิจิตอลพวกนี้ไว้ โดยมีการเก็บข้อมูลที่อยู่ของเว็บไซต์ ข้อความโฆษณา หรือหมายเลขโทรศัพท์ติดต่อ ซึ่งผู้ใช้จะสามารถจัดเก็บตัวอักษรและข้อมูลต่างๆ

การใช้งาน QR Code ที่เห็นกันในวงการไอทีบ่อยครั้งก็คือนามบัตร ข้อมูลที่จำเป็นจะถูกพิมพ์บนกระดาษ เช่น ชื่อ ชื่อบริษัท เบอร์โทรศัพท์ ส่วนข้อมูลอื่นๆ ผู้รับนามบัตรจะสามารถใช้กล้องบนโทรศัพท์มือถือ ถ่ายภาพ QR Code ด้วยโปรแกรมอ่าน QR Code เพื่อรับข้อมูลเพิ่มเติม เช่น เว็บไซต์ หรือชื่อที่ใช้ในเครือข่ายสังคม

ที่ผ่านมา คนไทยคุ้นตากับ QR Code ที่เป็นแบบขาวดำ คล้ายๆบาร์คโค้ดแบบแท่งซึ่งมีความเข้ม ความหนาของเส้นต่างกัน ที่ใกล้ตัวที่สุดก็เห็นจะเป็นการแสดงบาร์โค้ด QR Code บน BlackBerry ผ่านโปรแกรม BlackBerry Messenger แค่เอากล้องของ BlackBerry ด้วยกัน ส่องสักระยะให้เซ็นเซอร์อ่านค่า QR Code ก็จะสามารถเพิ่มรายชื่อที่มาพร้อมข้อมูลส่วนตัว

ตอนนี้หลายๆคนคงจะเริ่มเห็นสินค้าหลายๆชิ้นมีรหัสบาร์โค้ด QR Code ให้สแกนกันแล้ว หลายๆคนใกล้ตัวก็ถามว่า มีลิงค์ URL ให้ดาวน์โหลดข้อมูลเพิ่มเติมใช่หรือไม่ นั่นคือความเข้าใจที่หลายๆคนมองในมุมของการเก็บข้อมูลและแจ้งข่าวสาร จากนั้นให้ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้จากเว็บไซต์อีกครั้ง

หากมองการใช้งานในเชิงธุรกิจแล้ว QR Code นำมาใช้ในการจองตั๋วชมภาพยตร์ ตั๋วรถไฟ เครื่องบินได้ดี เพราะหากเราสแกนบาร์โค้ด QR Code บนบัตรสมาชิกแล้วหักเงินจากบัตร ก็สามารถเก็บข้อมูลได้เลยว่าแต่ละคนมีลักษณะและพฤติกรรมในการชมภาพยนตร์แนวไหน มากี่คน ความถี่ในการชม สาขาที่ชม สถานที่ท่องเที่ยว ความถี่ วันหยุดหรือวันธรรมดา ทำให้สามารถนำไปใช้ประโยชน์ด้านการตลาดมากมายและทำ CSR ได้อีกด้วย

Color QR Code

แปลกใจไหมว่าทำไมบาร์โค้ดจึงเป็นขาวดำ ตั้งแต่บาร์โค้ดแบบธรรมดาที่ติดอยู่บนสินค้าทั่วไป จนมาถึง QR Code เครื่องพิมพ์บาร์โค้ดยังคงเป็นสีขาวดำ ก็เพราะการสแกนอ่านค่าโค้ดบนความแตกต่างของสีขาวและสีดำนั้นมีมากนั่นเอง

จริงๆแล้ว QR Code แบบสีก็มี แต่ค่าความแตกต่างของสีนั้นจะต้องแตกต่างกันจนเครื่องอ่านหรือซอฟต์แวร์สามารถจำแนก แยกความแตกต่างของสีออกจากกันได้ เพราะอย่าลืมว่าเครื่องพิมพ์บาร์โค้ดเอง หากใช้คนละยี่ห้อ การผสมสีก็ต่างกัน เช่นเดียวกับเครื่องพิมพ์อิงค์เจ็ททั่วไป

แม้ว่าบางคนจะเบื่อกับบาร์โค้ดสีขาวและดำ แต่การสร้างบาร์โค้ดสีนั้น จำเป็นต้องมีค่าความแตกต่างของสีที่ต่างกันเยอะหน่อย ทั้ง foreground และ background เช่น พื้นหลังสีม่วงกับแถบบาร์โค้ดสีดำ เป็นต้น ทั้งหมดนี้ทำให้กฏข้อแรกของการใส่สีให้ QR Code จึงเป็นการเน้นพิจารณาเรื่องสีให้มาก

เรื่องน่าสนใจมากจากการออกแบบ QR Code คือ Louis Vuitton แบรนด์ดังระดับโลก ได้ลงมือผลิตรูปแบบของ QR Code เก๋ไก๋ขึ้นมา ผลิตโดย SET และออกแบบโดย Takashi Murakami ปรับโฉมจากแถบบาร์ขาวดำมาตรฐานปกติ ในขณะที่มีรูปแบบการออกแบบที่แตกต่างกันออกไป

การออกแบบ QR Code แบบสีนั้นจะมีข้อแตกต่างตรงที่สีเข้ม สีอ่อน ความคมชัดในการสแกนเพื่อแปลงค่า โดยความแปลกใหม่ของ QR Code แบบสีก็คือการจุข้อมูลได้มากกว่า การผลิตและออกแบบนั้น สามารถที่จะใส่สีหรือเพิ่มรูปภาพลงไปใน QR-Code โดยจะมีตัวที่ควบคุมค่าการอ่านเพื่อลดการผิดเพี้ยน แต่บางคนก็บอกว่าผิดพลาดง่ายขึ้นและไม่เป็นมาตรฐาน

หากสนใจ ตอนนี้มีหลายมาตรฐานอย่าง Kaywa API ในการสร้างโค้ดสี และสร้างความแตกต่างในการทำโค้ดได้จากหน้าเว็บ และยังมีแอปพลิเคชันของญี่ปุ่นในการสร้าง on-line QR-Code ที่ประกอบไปด้วยข้อความ สี และข้อมูลอื่นๆ ภายใต้ชื่อ Moji-Q ใครไม่รู้ภาษาญี่ปุ่นก็ลองใช้ Google Japanese-English translator แปลดูก็ได้

ทางฝั่งไมโครซอฟท์นั้นได้มีการพัฒนา 2D-Code ที่มีขนาดเล็ก มีรูปทรงและสีที่แตกต่างออกไปเช่นกัน เรียกว่าจะเอามาตรฐานของแต่ละคนวัดกันเลยทีเดียว

ปัญหาตอนนี้ก็คือความละเอียดของกล้องมือถือยังไม่สามารถแยกแยะความแตกต่างของสีและความเข้มของสีได้มากขนาดนั้น การอ่านด้วยกล้องมือถือจึงมีข้อกำกัดมากกว่าเครื่องยิงบาร์โค้ดทั่วไป

นอกจากนี้ยังมีบริการจาก Color Code ภายใต้ชื่อ Color Construct Code (Color C Code) สำหรับการใช้งานร่วมกับเครือข่ายโทรศัพท์มือถือ ในการทำการตลาดและโฆษณาผ่านมือถือ

Color C Code นั้นประกอบด้วยข้อมูลจำนวนมากที่สามารถรันได้โดยไม่ต้องอาศัยการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต เพื่อถอดรหัสและแสดงผลแบบดิจิตอลเช่น ข้อความ ภาพ เสียง เพลง และวีดีโอ ภาพด้านล่างเป็น Color C Code บนปกซีดีที่ถอดรหัสแบบออฟไลน์เพื่อเล่นคลิปเพลง 40 วินาที

สำหรับตลาด Color QR Code แบบสีนั้นมีข้อกำหนดและข้อจำกัดในเรื่องของการพิมพ์ฉลากบาร์โค้ด โดยการออกแบบให้ QR Code มีหลายสี โดยจะมีส่วนประกอบที่เกี่ยวข้องกันก็คือเครื่องพิมพ์ เครื่องอ่าน ก็คือพิมพ์บนสื่อต่างๆ แล้วทำการสแกนอ่านโดยใช้ซอฟต์แวร์ที่ติดตั้งบนโทรศัพท์มือถือ ดังนั้นความแม่นยำและการอ่านความแตกต่างของสีพื้นหลังและจุดบนพื้นหลังเป็นสิ่งสำคัญที่สุด

โดยการสร้างรหัสโค้ด Color QR Code นั้นไม่ใช่ว่านึกอยากจะสร้างสีอะไรก็สร้าง แต่จะต้องสื่อความหมาย เช่น สีประจำโลโก้ สัญลักษณ์ของบริษัท หรือบนการ์ดอวยพรช่วงคริตมาสก็จะเป็นสีแดงกับเขียว

ดังนั้นความเข้มของสีในการพิมพ์ Color QR Code จึงมีความแตกต่างจากขาวดำตรงที่พรินเตอร์ที่ใช้ กระดาษที่ใช้ ก็มีผลกับสีด้วยเช่นกัน ดังนั้นการพิมพ์แบบสีอาจจำเป็นต้องเข้มงวดในเรื่องของการพิมพ์เพราะมีผลกับความผิดพลาดในการสแกนและอ่านโค้ด

เรียกได้ว่า CQ Code และ Color C Code ต่างก็เป็นรหัสโค้ดแบบใหม่ที่ตอบสนองการทำการตลาดและใช้ประโยชน์ในเชิงธุรกิจ การตลาด การบริการ และโฆษณา ผู้บริโภคปรับตัว ผู้ผลิต นักการตลาด นักโฆษณาควรรู้ไว้เพื่อปรับตัวให้ทันต่อความเปลี่ยนแปลงของตลาดครับ

ที่มา
สร้างความแปลกใหม่ด้วย Color QR Code กับบทบาทในการดำเนินธุรกิจ โดย นันท์ชวิชญ์ ชัยภาคย์โสภณ (Twitter @yokekung)
http://www.manager.co.th/Cyberbiz/ViewNews.aspx?NewsID=9530000024807

เก๋ไก๋ด้วย QR Code รูปภาพ


BBC QR Code ที่ถูกคนพูดถึงมากทางฝั่งยุโรป


เก๋ไก๋ด้วย QR Code รูปภาพ

สัปดาห์ที่แล้วหลายคนบอกว่าชื่นชอบเรื่องราวของ QR Code หรือบาร์โค้ดทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัสแบบสีสันสวยงาม สัปดาห์นี้เราเชื่อว่าหลายคนจะรู้สึกชื่นชอบยิ่งขึ้นไปอีกกับ QR Code รูปภาพซึ่งผู้ประกอบการสามารถเพิ่มลูกเล่นน่ารักลงใน QR Code ได้อีกมากโข ที่น่าสนใจคือไม่ใช่แค่ความน่ารัก แต่ QR Code รูปภาพสามารถทำประโยชน์ให้กับผู้ประกอบการได้มากกว่า QR Code ธรรมดาๆแน่นอน

ผมเชื่อว่าถึงวันนี้ ท่านผู้อ่าน Manager CyberBiz น่าจะพอคุ้นตากับเครื่องหมาย QR Code กันมาบ้างแล้วจากบทความทั้ง 2 ตอนที่ผ่านมา

ส่วนหนึ่งเป็นเพราะ สินค้าในบ้านเราหลายยี่ห้อเริ่มใช้ความสามารถของ QR Code ในการทำการตลาดกันบ้างแล้วในขณะนี้ พร้อมกับที่อุปกรณ์พื้นฐานที่ใช้ในการอ่านข้อมูล ซึ่งก็คือโทรศัพท์มือถือนั้น ทุกคนก็ใช้งานกันอยู่แล้ว แถมโปรแกรมในการอ่านค่าก็มีให้โหลดใช้งานกันฟรีๆ และรองรับ Smart Phone แทบทุกระบบปฏิบัติการ

อย่างที่เราพอทราบกันว่า ในประเทศญี่ปุ่น QR Code เกิดขึ้นและใช้งานกันอย่างแพร่หลายมาแล้วนับ 10 ปี บริษัท Denso wave เป็นผู้คิดค้นขึ้นตั้งแต่ปี 1994 ซึ่งเจ้า QR Code นี้ก็ได้มีวิวัฒนาการขึ้นมาเรื่อยๆหลังจาก QR Code แบบดั้งเดิมเริ่มใช้งานมาชั่วระยะหนึ่ง ก็มีผู้ที่มองเห็นการใช้งานรูปแบบเดิมๆดูกลายเป็นความจำเจ และอาจจะยังมีจุดอ่อนที่ก่อให้เกิดความสับสนของผู้พบเห็น ซ้ำยังไม่ค่อยดึงดูดใจลูกค้ากลุ่มวัยรุ่นมากสักเท่าไร วิวัฒนาการการเปลี่ยนแปลงจึงเกิดขึ้นจากจุดนั้น จนกลายมาเป็น Color QR Code

กระทั่งปีที่แล้ว นักวาดการ์ตูนชาวญี่ปุ่นชื่อว่า Takashi Murakami ได้ปฏิวัติวงการ QR Code เมื่อได้ออกแบบ Image QR Code เพื่อโปรโมทโฆษณาชุด "SUPERFLAT FIRST LOVE" ของ Louis Vuitton จนทำให้โฆษณาชุดดังกล่าวเป็นที่กล่าวขวัญและจดจำ

แนวคิดเดียวกับภาพ QR Code ของ Takamushi Murakami แต่ช่วงปี 2006 นั้นเริ่มมีความพยายามที่จะนำภาพหรือ โลโก้ของสินค้ามาใส่ในภาพ QR Code โดยสายการบิน Lufthansa ของเยอรมันเป็นผู้นำร่อง จนปัจจุบันนี้มี Brand ดังหลายเจ้าได้จ้างให้นักออกแบบ QR Code ผลิตงาน Design QR Code ที่เป็นเอกลักษณ์ โดยใช้รูปภาพหรือโลโก้สัญลักษณ์บริษัทตัวเองลงไปใน QR Code กันอย่างมากมาย อย่างเช่น Disney, BBC, Adidas

ปัจจุบันยิ่งก้าวขึ้นไปอีกขั้น ถึงขนาดมีการใช้ Flash VDO QR Code สร้าง QR Code แบบเคลื่อนไหว เพื่อใช้กับสื่อออนไลน์โดยเฉพาะ ผลงานส่วนใหญ่สร้างสรรค์ขึ้นโดยบริษัท A.T. Communications

3 ข้อดีของการใช้ Image QR Code แทนการใช้งาน QR Code รูปแบบเดิมได้แก่ การเพิ่มจำนวนทราฟฟิกมากขึ้น การจดจำแบรนด์ได้มากขึ้น และเพิ่มความเข้าใจของผู้บริโภคในการมองครั้งแรก

1. Image QR Code สามารถเพิ่มปริมาณผู้เข้าชมเว็บไซต์ หรือ Mobile Site ที่เจ้าของสินค้าต้องการนำเสนอได้ (เพิ่ม Traffic) โดยภาพที่โดดเด่นของ QR Code จะช่วยกระตุ้นความสนใจของผู้ที่พบเห็นอยากที่จะลองดูว่าหลังจากที่ Scan แล้วจะเกิดอะไรขึ้น

2. Image QR Code เชื่อว่าจะทำให้ผู้ประกอบการสามารถสร้างแบรนด์ได้ดีกว่า QR Code ดั้งเดิม เพราะการออกแบบที่สวยงามและดึงดูด จะช่วยให้ผู้ที่พบเห็นเกิดการรับรู้และจดจำตราสินค้าได้ โดยเฉพาะถ้าคุณใส่โลโก้และภาพที่ดึงดูดใจพอ ลองดูตัวอย่างของ QR Code ของ Louis Vuitton ,BBC ,หรือ Adidas

3. Image QR Code ช่วยให้การตีความเป็นไปได้ง่ายขึ้นกว่า QR Code ปกติ เนื่องจากการใช้งาน QR Code แบบเดิมๆนั้น บางครั้งก็ก่อให้เกิดความสับสน ทำให้ลูกค้าหรือกลุ่มผู้พบเห็นไม่เข้าว่าคุณต้องการนำเสนอประเด็นสื่อสารหรือเนื้อหาสาระอะไร นอกจากต้องสแกนเพื่อดูข้อความ แต่ Image QR Code จะช่วยให้ผู้ที่พบเห็นสามารถตีความหรือคาดเดาได้ว่า QR Code นี้จะนำพาเขาไปพบเจอกันเนื้อหาสาระอะไรภายใน โดยที่ยังไม่จำเป็นต้องหาเครื่องสแกนเพื่อตีความหมายในขณะนั้น

จะเห็นได้ว่า Image QR Code นั้นมีความสามารถในการดึงดูดความสนใจโดยเฉพาะกับกลุ่มลูกค้าที่เป็นคนรุ่นใหม่ที่ชอบความแปลกใหม่และน่าตื่นเต้น Image QR Code นี้จึงเหมาะกับ Campaign Mobile Marketing เพื่อกระตุ้นยอดขาย มากกว่าการนำมาประยุกต์ใช้ในด้านการให้ข้อมูล หรือส่งเสริมการเรียนรู้แบบ QR Code แบบปกติ

ซึ่งหากแบรนด์สินค้าใดคิดที่จะทำการตลาดด้วย Image QR Code นี้แล้วควรจะเตรียมความพร้อมในการจัดทำ Mobile Site ไว้ด้วย เพราะคุณต้องเข้าใจว่า เครื่องมือที่ง่ายและสะดวกที่สุดในการอ่านข้อมูล QR Code ของคุณคือ โทรศัพท์มือถือนั่นเอง

มีงานวิจัยว่าภายในปี 2011 ยอดขายของ Smart phone จะแซงยอดขายของ PC และ 80% ของการใช้งาน Internet จะผ่านการเชื่อมต่อจาก Smart phone ภายในปี 2020 จะเห็นได้ว่าเรากำลังจะก้าวเข้าสู่ยุคของ Mobile Marketing ในอีกไม่นาน Image QR Code จึงเป็นเครื่องมือชั้นดีในการดึงดูดความสนใจ พร้อมกับสร้างการจดจำใน Brand ของคุณไปพร้อมๆกัน

แต่ใช่ว่าการออกแบบและสร้าง Image QR code นั้นจะเป็นเรื่องที่ง่ายเหมือนการสร้าง QR Code แบบปกติ การออกแบบให้สวยงามและน่าสนใจก็เรื่องหนึ่ง ส่วนการทำให้โปรแกรมสแกน QR Code อ่านค่าได้ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ดังนี้ผู้ที่ออกแบบ Image QR Code จึงต้องมีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งถึงข้อมูลทางกายภาพของ QR Code ด้วยระดับหนึ่ง ถึงจะทำให้งานออกมาสวยงามลงตัวและอ่านค่าได้โดยไม่มีข้อผิดพลาดใดๆ

ในต่างประเทศนั้นถึงกับมีการก่อตั้งบริษัทรับออกแบบ Image QR Code โดยเฉพาะ โดยเฉพาะในประเทศญี่ปุ่นซึ่งเป็นต้นกำเนิดและมีการใช้งาน QR Code อย่างแพร่หลายมากที่สุดที่หนึ่งในโลก บริษัทที่มีชื่อเสียงในธุรกิจนี้ได้แก่ SET Japan ที่ผลิตงานระดับโลกให้กับ Louis Vuitton หรือบริษัท DesignQR เป็นต้น แต่หากคุณอยากได้ Image QR Code ที่น่ารักแปลกใหม่ สำหรับงานออนไลน์ ลองใช้บริการ A.T. Communications ที่สามารถสร้าง Flash VDO QR Code ให้ Brand ของคุณโดดเด่นอย่างแตกต่าง

ศิลปะและเทคโนโลยีหากทำให้เกิดการผสมผสานอย่างลงตัวก็จะช่วยให้ธุรกิจของคุณก้าวล้ำและโดดเด่นกว่าคู่แข่งของคุณได้ไม่ยาก ขอเพียงให้คุณพร้อมที่จะยอมรับและเริ่มต้นงานศิลปะบนเทคโนโลยีนี้

เริ่มเลยครับ ธุรกิจของคุณจะไปไกลขึ้นแน่นอน

สร้างแบรนด์ให้โดดเด่นด้วย Image QR Code
บทความโดย สุธาทร สุทธิสนธิ์ (www.toppercool.com) Twitter : @toppercool
ที่มา
http://www.manager.co.th/Cyberbiz/ViewNews.aspx?NewsID=9530000028461

วันอังคารที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

วิธีคิดแบบคนรวย ปรับเปลี่ยนแนวคิดให้รวย

เคยสงสัยกันไหมว่า ทำไมคนเราที่อุตส่าห์อดออม ขยันทำงานตัวเป็นเกลียว ประหยัดจนเอวคอดเอวกิ่ว และไม่เคยข้องแวะกับความฟุ่มเฟือยใดๆ พอมีเงินก็เอาไปต่อยอดให้ออกดอกออกผล เรียกได้ว่าทำทุกอย่างตามสูตรของการเป็นเศรษฐี พยายามปฏิบัติทุกอย่างตามคัมภีร์แห่งความมั่งคั่ง แต่ท้ายที่สุดนั้นก็ยังไม่ได้เป็นเจ้าของสรรพนามคำว่าเศรษฐีเสียที ทำไม?? และทำไม??? จะมีวิธีไหนได้บ้างที่จะสามารถปรับเปลี่ยนตัวเองให้เป็นเศรษฐีหรือคนรวยได้บ้างไหม หากคุณคิดแบบนี้


เราจะพาไปแกะรอยดูว่า บรรดาเศรษฐีตัวจริงเสียงจริงทั้งหลาย เขาคิดและมีมุมมองกันอย่างไร ถึงได้มั่งคั่งอย่างยั่งยืนบนกองเงินกองทอง ที.ฮาร์ฟ เอเคอร์ เจ้าของงานเขียน เคล็ดลับทำใจให้เป็นเศรษฐีเงินล้าน : การคุมเกมสร้างความมั่งคั่ง ซึ่งตัวเค้าเองนั้นเชื่อว่าคนรวยคิดแตกต่างเกี่ยวกับเงิน และแต่ละคนมีแผนการเงินเฉพาะตัว ซึ่งคิดกำหนดขึ้นมาตลอดช่วงชีวิตในการลงทุนเกี่ยวข้องกับเงิน ลองตามมาดูวิธีคิดและมุมมองแบบคนรวย แนวความคิดแบบคนรวย ว่าเขาคิดกันอย่างไร

วิธีคิดแบบคนรวย

ฉันสร้างชีวิตด้วยตัวเอง พูดให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือ คนที่จะรวยได้ต้องเริ่มคิดสร้างเนื้อสร้างตัวด้วยตัวเอง ไม่คิดพึ่งพิงคนอื่น สังเกตว่าพวกที่ไม่ได้เป็นเศรษฐี มักคิดแค่ว่า เราช่างโชคดีเหลือเกินที่เกิดมาบนกองเงินกองทองที่พ่อแม่สร้างไว้ให้ ไม่ต้องทำอะไรก็มีมรดกตกทอดมาจากพ่อแม่เอาไว้ให้ใช้อยู่แล้ว ไม่เห็นต้องทำอะไร ก็อยู่ได้ไปชั่วชีวิต จะเห็นได้ว่าเศรษฐีเมืองเราหลายคน ไม่ว่าจะเป็น “เจริญ สิริวัฒนภักดี” หรือ “เฉลียว อยู่วิทยา” ก็ล้วนแต่สร้างและสั่งสมความร่ำรวยมาด้วยตัวเองแทบทั้งสิ้น กว่าจะนอนเกลือกกลิ้งบนกองเงินกองทองเป็นเศรษฐีมีเงินพันล้านหมื่นล้าน คนเหล่านี้เริ่มต้นจากศูนย์และด้วยสองมือเปล่า และเป็นคนที่มีพื้นฐานครอบครัวไม่รวยมาก่อนแทบทั้งสิ้น

เฉลียว อยู่วิทยา เจ้าของบริษัทเครื่องดื่มชูกำลังยี่ห้อดังอย่างกระทิงแดง ปัจจุบันมีบุตร 11 คน โดยในปี พ.ศ. 2551 ได้รับการจัดอันดับโดยนิตยสารฟอร์บส์ให้เป็น เศรษฐีอันดับ 260 ของโลก และอันดับ 1 ของไทย ซึ่งมูลค่าสินทรัพย์มีมูลค่าประมาณ 4,000 ล้านดอลลาร์ โดยรวมมูลค่าของหุ้นส่วนอุตสาหกรรมยา (T.C. Pharmaceuticals) และหุ้นส่วนโรงพยาบาล และเฉลียว เขาไม่ได้เกิดมาในชาติตระกูลของผู้มีอันจะกิน แต่เกิดมาท่ามกลางครอบครัวยากจน ทำให้เขาต้องช่วยที่บ้านทำงานมาตั้งแต่เด็กๆ ก่อนจะมาขายกระทิงแดงอย่างทุกวันนี้ เขาขายทั้งผลไม้ ขายยา และทำธุรกิจมากมายหลายอย่าง และหลายอย่างก็ไม่ประสบความสำเร็จ

มีหัวการค้าตั้งแต่เด็ก กว่าจะมาเป็นคนที่รวยที่สุดในประเทศไทย และเป็นเจ้าของเหล้าแม่โขง และเหล้าแสงโสม เบียร์ช้าง เศรษฐีแถวหน้าของเมืองไทยอย่างเจริญ สิริวัฒนภักดี เจ้าของธุรกิจเบียร์ช้าง เป็นคนที่มีหัวการค้าตั้งแต่เด็ก และเขาก็เชื่อเสมอว่าคนจะรวยได้ต้องทำการค้าเท่านั้น นั่นทำให้เขามุ่งมั่นกับการทำการค้ามาตั้งแต่เด็ก

บิล เกตส์ เจ้าของบริษัท ไมโครซอฟท์ ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้โตมาจากครอบครัวยากจน เพราะพ่อของเขาเป็นทนายและแม่เป็นอาจารย์ แต่เขาก็มีหัวการค้ามาตั้งแต่เด็กเหมือนกัน ช่วงที่เรียนอยู่เขากับเพื่อนสนิทคิดช่องทางหาเงิน โดยรับเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ซึ่งทำเงินให้เขาไม่ใช่น้อยเลยสำหรับเด็กในวัย 10 ขวบกว่า

วอร์เรน บัฟเฟตต์ เป็นคนที่ขยันหาเงินมาตั้งแต่เด็ก กว่าจะมาร่ำรวยระดับโลกแบบนี้ได้ บัฟเฟตต์ก็เคยเป็นคนที่รู้จักทำมาหากินมาตั้งแต่เด็ก เขาก็เคยหารายได้จากการขายของตามบ้านและเป็นเด็กส่งหนังสือพิมพ์มาก่อน


เล่นอะไรต้องชนะเท่านั้น
คนจนมักคิดแค่ว่าเล่นเกมการเงินหรือการลงทุนก็เพื่อไม่ให้แพ้ ตรงกันข้ามกับคนรวยที่เมื่อเล่นเกมการเงินหรือลงทุน พวกเขามุ่งมั่นว่าต้องชนะเท่านั้น อย่างบิล เกตส์ เป็นตัวอย่างของคนประเภทนี้ได้ดีที่สุด วิธีคิดของเขาคือ จะทำอะไรต้องชนะเท่านั้น นั่นเพราะในครอบครัวของเขาสอนให้มีนิสัยรักการแข่งขันมาตั้งแต่เด็ก

คิดการใหญ่ไม่มองเล็ก
ธรรมชาติของคนรวยมักจะคิดการใหญ่ แต่ถ้าเป็นคนจนจะคิดการเล็ก คนรวยไม่ได้คิดแค่เปิดร้านก๋วยเตี๋ยวเล็กๆ ข้างทาง แต่พวกเขาคิดเลยเถิดไปถึงร้านอาหารใหญ่ๆ ที่อาจจะขายแฟรนไชส์ได้ในอนาคต หรืออาจจะเปิดในต่างประเทศ อย่างบิล เกตส์เป็นกรณีศึกษา จะพบว่าเขาเป็นคนที่คิดการใหญ่มาตั้งแต่เป็นวัยรุ่น สมัยที่คอมพิวเตอร์ยังไม่ใช่ของใช้ประจำบ้าน คนมีวิสัยทัศน์อย่างบิล เกตส์กลับมองออกว่า คอมพิวเตอร์จะกลายมาเป็นสิ่งสำคัญในชีวิตประจำวันของผู้คน เมื่ออ่านเกมขาด เขาจึงตัดสินใจที่จะทุ่มเทเข้ามาทำธุรกิจที่เกี่ยวพันกับคอมพิวเตอร์ จนกระทั่งประสบความสำเร็จอย่างที่หลายคนไม่คาดคิด

มองหาโอกาสไม่สนใจอุปสรรค
คนจนมัวแต่โฟกัสไปที่อุปสรรคและจมดิ่งอยู่กับปัญหา แต่คนรวยแม้จะถูกรุมเร้าด้วยอุปสรรคและปัญหา แต่พวกเขาจะมองหาโอกาสโดยไม่สนใจกับอุปสรรคใดๆ พูดให้ชัดคือ คนรวยมองปัญหาเป็นเรื่องเล็ก แต่คนจนมักจะมองปัญหาเป็นเรื่องใหญ่ ยิ่งกว่านั้นคือคนรวยมักจะเป็นพวกตื่นตัวและความกลัวหยุดพวกเขาไม่ได้

ชื่นชมผู้ประสบความสำเร็จ
ลองสังเกตดูให้ดีจะพบว่า คนรวยมักจะชื่นชมคนรวยและยินดีกับผู้ที่ประสบความสำเร็จในชีวิต แต่คนจนเวลาเห็นคนรวยกว่าหรือเห็นคนอื่นได้ดีกว่ามักไม่ค่อยพอใจ เมื่อบุรุษที่ร่ำรวยที่สุดในโลก 2 คน อย่างบิล เกตส์ กับบัฟเฟตต์พบกันเมื่อไม่กี่ปีมานี้ เขาต่างชื่นชมซึ่งกันและกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อได้พูดคุยกับบัฟเฟตต์เพียงไม่กี่ชั่วโมง บิล เกตส์กลายเป็นคนที่ศรัทธาในตัวบัฟเฟตต์อย่างมาก ฝ่ายบัฟเฟตต์เองก็นับถือบิล เกตส์อย่างดีเช่นเดียวกัน

คบหากับคนประสบความสำเร็จและคิดบวก
โดยมากพวกคนรวยจะคบค้าสมาคมกับคนที่ประสบความสำเร็จ หรือคนที่คิดบวก เพราะบางทีในอนาคตอาจจะคิดหาทางเพื่อเป็นพันธมิตรทางธุรกิจกันในอนาคต ฝ่ายคนจนมักจะสมาคมกับคนคิดลบและคนที่ไม่ประสบความสำเร็จ เช่น กรณีของเจริญ เขาเป็นคนที่มีสายสัมพันธ์อย่างดีกับผู้คนในแวดวงการค้า การลงทุนในธุรกิจต่างๆ รวมไปถึง ข้าราชการ ไปจนถึงแวดวงนักการเมือง

เลือกทำเงินโดยไม่รอเวลา
อาจจะเป็นเพราะคนรวยมักจะคิดแล้วทำเลย ไม่ผัดวันประกันพรุ่ง ไม่รอเวลา เมื่อจังหวะมีโอกาสมา พวกเขาก็จะลงมือทำงานทำเงินทันที ตรงกันข้ามกับคนจนที่มักจะรอเวลา และผัดวันประกันพรุ่งกับทุกเรื่อง ตัวอย่างของเจริญค่อนข้างชัดเจน เขาเป็นคนที่มีความคิดแตกฉานในเรื่องการทำธุรกิจ เมื่อจะลงมือทำอะไรเขาจะคิดก่อน เมื่อคิดอย่างถ่องแท้แล้ว เขาก็จะลงมือทำ เรียกว่าเป็นคนที่ตัดสินใจเร็วในการทำธุรกิจ

คิดแบบควบคู่ไม่ใช่แค่เรื่องใดเรื่องหนึ่ง
ตัวอย่างของคนรวยหลายคน มักจะมีระบบคิดที่ไม่ใช่คิดแค่เรื่องใดเรื่องหนึ่ง แต่พวกเขาจะคิดควบคู่หลายเรื่องในเวลาเดียวกัน แต่ถ้าเป็นคนจนมักจะคิดวนอยู่เรื่องเดียว ถ้ามองในแง่ของการทำธุรกิจ ก็จะเห็นได้ว่า เศรษฐีหลายคน อาจจะเริ่มต้นจากธุรกิจแขนงใดแขนงหนึ่ง แต่เมื่อเริ่มตั้งตัวได้ พวกเขาก็จะแตกไลน์ทำธุรกิจหลายๆ อย่างในเวลาเดียวกัน

เช่นกรณีของเฉลียว ที่เมื่อพูดถึงชื่อเขา แน่นอนทุกคนคงนึกถึงกระทิงแดง แต่ทุกวันนี้เฉลียวไม่ได้ขายกระทิงแดงอย่างเดียว แต่แตกไลน์ขยายธุรกิจออกไปอย่างกว้างไกล ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจยา เครื่องดื่ม อาหาร สนามกอล์ฟ ธุรกิจพัฒนาที่ดินและอสังหาริมทรัพย์

เน้นหาความมั่งคั่งอื่นไม่ใช่แค่รายได้ประจำ
ข้อนี้อาจจะต่อเนื่องอย่างที่บอกว่าคนรวยไม่ได้หวังแค่รายได้จากเงินเดือนประจำ แต่พวกเขาจะมองหาอย่างอื่นที่มาเติมความมั่งคั่งให้ตัวเองด้วย แต่คนจนหวังแค่รายได้ประจำ

บริหารเงินได้ ใช้เงินเป็น
คนรวยมักจะบริหารเงินได้ดี แต่คนจนมักจะบริหารจัดการได้ไม่ดีเท่าไหร่ อย่างเจริญ เขาไม่ใช่คนที่ประหยัดเงินท่าเดียว แต่เขาเป็นคนที่ใช้เงินเป็น และมีระบบการบริหารเงินในบริษัทได้ดี คำว่าบริหารเงินได้ดี อาจหมายรวมไปถึงการบริหารพอร์ตการลงทุนด้วย เช่นกรณีพอร์ตการลงทุนของบัฟเฟตต์เขาก็บริหารด้วยการกระจายไปในหุ้น หลายกลุ่มหลายตัวที่เขาคิดและมองเห็นแล้วว่าพื้นฐานกิจการดี และสามารถมองเห็นที่มาที่ไปของการสร้างรายได้

ส่วนการใช้เงินเป็นนั้น แม้เศรษฐีพวกนี้จะอยู่ในภาวะร่ำรวยล้นฟ้ากันแล้ว แต่ถ้าสังเกตให้ดีก็จะเห็นว่า พวกเขาหามาได้และใช้อย่างพอดี ไม่ได้ฟุ่มเฟือยกับกองเงินกองทองตรงหน้า แถมเศรษฐีแต่ละคน เมื่อรวยมาถึงระดับหนึ่งก็มักจะทำหน้าที่เป็นผู้ให้ ด้วยการบริจาคเงินช่วยเหลือให้กับสังคมในรูปแบบต่างๆ

ให้เงินช่วยทำงานไม่ใช่ทำงานหนักเพื่อเก็บเงิน
คนจนเอาแต่คร่ำเคร่งกับการทำงานอย่างหนักเพื่อหาเงินมาเก็บ แต่คนรวยไม่ได้เป็นแบบนั้น เมื่อทำงานหนักได้เงินมา พวกเขาใช้ให้เงินทำงานแทนพวกเขา บัฟเฟตต์เองก็เช่นกัน จริงอยู่เขาเป็นคนที่ขยันทำมาหากิน หมั่นเก็บออมเงิน และเมื่อถึงจุดหนึ่งก็นำเงินมาลงทุนเพื่อให้เงินทำงาน ซึ่งเป็นแบบนี้มาตั้งแต่เด็ก เพราะบัฟเฟตต์เริ่มซื้อหุ้นครั้งแรกเมื่ออายุ 11 ขวบ และนับจากนั้น เขาก็ให้เงินทำงานหนักกว่าเขาหลายเท่า

เรียนรู้อยู่ตลอดเวลา
คนจนมักจะคิดว่าฉันรู้หมดแล้ว ตรงกันข้ามกับคนรวยที่ขวนขวายหาความรู้ และมีนิสัยชอบเรียนรู้อยู่ตลอดเวลา ถ้าใครที่ติดตามหรือแกะรอยความรวยของบัฟเฟตต์ ก็จะพบว่า แม้จะร่ำรวยแล้วแต่เขาก็ยังเป็นคนที่เรียนรู้ทุกสิ่งทุกอย่าง และยังแนะนำให้ทุกคนหมั่นศึกษาหาความรู้ใส่ตัว และฝึกฝนทักษะในเรื่องต่างๆอยู่ตลอด

สมถะและใช้ชีวิตเรียบง่าย
ข้อสังเกตอย่างหนึ่งของบรรดาเศรษฐี คือ ยิ่งรวยมากเท่าไหร่ ยิ่งมั่งคั่งมาก พวกเขายิ่งใช้ชีวิตอย่างสมถะและเรียบง่ายมากกว่าคนที่เพิ่งรวย ถ้าจะให้เห็นชัดเจนที่สุดคงเป็นเจ้าพ่อกระทิงแดงอย่างเฉลียว อยู่วิทยา ที่แม้ว่าเขาจะร่ำรวยระดับโลกแล้ว แต่ทุกวันนี้เขายังคงใช้ชีวิตอย่างสมถะเหมือนกับเมื่อตอนเริ่มต้นทำธุรกิจ ธรรมชาติของเขาคือความเรียบง่าย กินอยู่ง่ายๆ แบบคนธรรมดาทั่วไป ใช้ข้าวของไม่ต่างจากตอนที่บุกเบิกธุรกิจ

ฝ่ายบัฟเฟตต์นั่นก็พอกัน ถึงจะมีกำไรจากการลงทุนในตลาดหุ้นอย่างมหาศาลแค่ไหน แต่เขายังคงใช้ชีวิตไม่ต่างจากมนุษย์เงินเดือนทั่วๆ ไป เขายังคงใช้รถคันเก่าๆ เล็กๆ คันเดิมแทนรถสปอร์ตสุดหรู อยู่ในบ้านหลังเก่าแทนที่จะเป็นคฤหาสน์หลังโต เงินทองและทรัพย์สินที่บัฟเฟตต์หามาได้นั้น เขาแทบไม่ได้เอามาปรนเปรอความสุขให้ตัวเองอย่างที่ควรจะเป็น แต่เมื่อถึงจุดอิ่มตัวของชีวิต ความสุขของมหาเศรษฐีอย่างเขาคือการนำเงินไปบริจาค

ทั้งหมดที่ว่านี้ คือวิธีคิดและมุมมองของผู้ร่ำรวย คุณเองก็เป็นเศรษฐีได้ ถ้าลองหยิบแง่คิดเหล่านี้ไปประยุกต์ใช้กับตัวเอง แค่พัฒนาความฉลาดทางการเงินของตัวเอง และเริ่มต้นคิดให้เหมือนกับตัวเองเป็นเศรษฐีเงินล้าน จะช่วยให้เงินไหลเข้ามาหาคุณได้เอง

ที่มา
http://www.cheapestav.com/2010/06/%e0%b8%a7%e0%b8%b4%e0%b8%98%e0%b8%b5%e0%b8%84%e0%b8%b4%e0%b8%94%e0%b9%81%e0%b8%9a%e0%b8%9a%e0%b8%84%e0%b8%99%e0%b8%a3%e0%b8%a7%e0%b8%a2/

วันจันทร์ที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ธุรกิจสื่อสิ่งพิมพ์จะนำไอทีมาใช้ในการสร้างรายได้เพิ่มได้อย่างไร?


Kinokuniya Bookweb หนึ่งในตัวอย่างเว็บจำหน่ายหนังสือที่ประสบความสำเร็จงดงามในญี่ปุ่น

สัปดาห์นี้ "ทำเงินบนโลกไอที" ขอเสนอตัวช่วยที่ธุรกิจสิ่งพิมพ์ทุกค่ายบนโลกใบนี้สามารถเก็บเกี่ยวได้จากโลกไอที และทั้งหมดเป็นตัวช่วยที่สำนักพิมพ์บิ๊กเนมการันตีว่าได้ผลจริง!!

หนอนหนังสือที่เติบโตในยุค Generation Y ซึ่งเป็นยุคที่มีการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อม เศรษฐกิจการเมือง และพิศมัยกับเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่มีออกมามากมายดาษดื่น พวกเขาใช้เวลาในการอ่านหนังสือ ติดตามข่าวสาร อ่านบทความต่างๆ ที่เป็นออนไลน์กันอย่างแพร่หลาย ทำให้คิดกันต่อไปว่าแล้วต่อไปอนาคตของธุรกิจสิ่งพิมพ์จะเป็นอย่างไร? มันกำลังจะเจ๊งแล้วเหรอเนี่ย???

หากสังเกตให้ดีมูลค่าการขายหนังสือหรือสิ่งพิมพ์ของไทยเมื่อปีก่อน ซึ่งทั้งตลาดมีมูลค่าประมาณ 18.8 หมื่นล้านบาท มันโตเพิ่มขึ้นเพียงแค่ 1% เท่านั้น ตรงนี้เองเป็นภาพขยายที่ชัดเจนของแนวโน้มการหดตัวลงของธุรกิจสื่อสิ่งพิมพ์ได้เป็นอย่างดี มันเหมือนกับว่าการมีไอทีเข้ามาทำให้ธุรกิจหนังสือที่ทำจากกระดาษจะค่อยตายไปเรื่อยๆ แต่หากมองในอีกด้านหนึ่งธุรกิจสิ่งพิมพ์ก็สามารถนำเอาไอทีมาช่วยในการสร้างรายได้-ลดต้นทุนธุรกิจได้เช่นกัน และไม่แน่ว่าอาจทำให้ธุรกิจรวยกันแบบไม่รู้เรื่องเลยก็เป็นได้

ดังเช่น เจฟฟ์ บิวเคส ประธานบริหารของไทม์ วอร์เนอร์ เองก็มีแนวคิดที่จะนำไอทีมาช่วยลดต้นทุนและปรับธุรกิจเพื่อรับกับโลกดิจิตอลในอนาคตอย่างจริงจังด้วยเช่นกัน

แล้วสำนักพิมพ์อย่างเราจะทำอย่างไรถึงจะทำให้รายได้เพิ่มขึ้นมา วันนี้เรามาหาคำตอบการสร้างรายได้เพิ่มให้ธุรกิจสื่อสิ่งพิมพ์จากการนำไอทีมาใช้ประโยชน์กันดีกว่า ว่าจะมีวิธีอย่างไรบ้าง

1. นำไอทีมาใช้ประโยชน์โดยการจำหน่ายหนังสือผ่านออนไลน์

ธุรกิจร้านจำหน่ายหนังสือชื่อดังหลายๆแห่ง นำเอาช่องทางออนไลน์มาใช้ประโยชน์โดยการสร้างเว็บไซต์ในการจำหน่ายหนังสือ ดังเช่น คิโนคุนิยะ (Kinokuniya) ร้านเครือข่ายหนังสือที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น (และมีอยู่หลายสาขาที่เปิดในไทย) เขาได้เปิดเว็บไซต์ที่ชื่อ Kinokuniya Bookweb (http://bookweb.kinokuniya.co.jp) ที่เป็นศูนย์ข้อมูลด้านหนังสือออนไลน์ให้สมาชิกสามารถเข้ามาสืบค้น และสั่งซื้อหนังสือได้อย่างง่ายดาย ปัจจุบันเขามีสมาชิกทั่วโลกเข้าใช้งานกว่า 2 แสนรายเข้าไปแล้ว!!

2. นำหนังสือของสำนักพิมพ์ไปจำหน่ายในรูปแบบ e-Book

ธุรกิจสิ่งพิมพ์สามารถสร้างรายได้แนวใหม่ซึ่งคล้ายกับการทำธุรกิจเพลงที่หารายได้ผ่านช่องทางดิจิตอล ให้ผู้อ่านเข้ามาซื้อหนังสือที่เขาสนใจโดยการดาวน์โหลดเป็นไฟล์ e-Book ออกไปเพื่อนำไปอ่านบนเครื่องคอมพิวเตอร์ หรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อื่นๆได้

ในขณะเดียวกันกระแสการผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ช่วยในการอ่าน e-Book ที่หลั่งไหลออกมาอย่างมากมายในปีนี้ จะช่วยเพิ่มปริมาณการอ่านหนังสือ e-Book มากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็น Apple iPad, Amazon Kindle, Sony Reader, Barnes & Noble, Digital Reader Touch Edition, Bookeen Cybook Gen3, Irex Digital Reader (IDR), Elonex eBook, Fujitsu FLEPia, Plastic Logic eReader และอื่นๆอีกมากมาย

นิตยสาร Business Week เองก็ได้ออกมาพยากรณ์ว่าภายหลังจากที่อุปกรณ์เหล่านี้หลั่งไหลกันออกมาอย่างมากมาย จะส่งผลให้อุตสาหกรรมสื่อสิ่งพิมพ์นั้นกลับมาเติบโตขึ้นอีกครั้งหนึ่ง สมาชิกจะยอมเสียค่าสมาชิกเพื่อนำ e-Book ไปอ่านบนอุปกรณ์เหล่านี้ แต่อย่างไรก็ตามสำหรับประเทศไทย อาจต้องรออีกซักพักหนึ่งเพื่อให้อุปกรณ์เหล่านี้มีราคาลดลง รวมถึงอุปกรณ์เหล่านี้สามารถรองรับภาษาไทยได้อย่างสมบูรณ์ ตลาด e-Book ในไทยก็น่าจะไปโลดได้อย่างแน่นอน

ทางฟากฝั่ง Google เว็บไซต์ Search Engine ชื่อดัง ก็กำลังเปิดร้านจำหน่ายหนังสือออนไลน์ซึ่งน่าจะแล้วเสร็จภายในปีนี้ โดยใช้ชื่อว่า Google Editions ซึ่งเป็นช่องทางในการทำธุรกิจร่วมกับสำนักพิมพ์ โดยจะมีทั้งในรูปแบบขายปลีกและขายส่ง สำหรับกรณีขายปลีกรายได้จะถูก Google หักไป 37% และให้สำนักพิมพ์ 63% ในขณะที่หากเป็นกรณีขายส่งรายได้จะถูก Google หักไป 55% (ซึ่ง Google จะนำไปแบ่งแก่ผู้ขายปลีกอีกต่อ คนละครึ่ง) ส่วนที่เหลืออีก 45% ให้สำนักพิมพ์

แน่นอนว่าเป็นโอกาสที่ดีที่ธุรกิจสิ่งพิมพ์สามารถจำหน่ายหนังสือออกไปในรูปดิจิตอลแก่ผู้อ่านทั่วโลกผ่าน Google ขณะเดียวกัน Apple Inc. คู่แข่งสำคัญทางธุรกิจของ Google ก็เช่นกันก็ได้เปิดบริการ iBookstore เพื่อให้คนเข้ามาซื้อ e-Book เพื่อนำไปใช้อ่านในเครื่องเล่นดังกล่าว

ขณะเดียวกัน โซนี่ ผู้ผลิตสินค้าอิเล็กทรอนิกส์รายใหญ่ของญี่ปุ่น ก็ได้ร่วมมือกับ ออเธอร์ โซลูชั่นส์ และสแมชเวิร์ดส์ บริษัทรับจัดพิมพ์หนังสือด้วยตัวเอง เปิดโอกาสให้สำนักพิมพ์ เพียงส่งผลงานมาให้กับบริษัทในรูปเอกสารไมโครซอฟท์ เวิร์ด และเลือกราคาที่ต้องการ ที่เหลือบริษัทจะจัดการทุกอย่างให้เอง

3. ช่องทางการโปรโมทสำนักพิมพ์หรือหนังสือใหม่ บนโลกออนไลน์มีอยู่มากมายได้ฟรีๆ

เว็บไซต์ Social Network ทั้งหลายที่กำลังได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายไม่ว่าจะเป็น twitter.com หรือ facebook.com ธุรกิจสื่อสิ่งพิมพ์สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้หลายอย่าง ซึ่งจะช่วยให้สามารถลดค่าใช้จ่ายทางการตลาดลง ไม่ว่าจะเป็นการสร้างช่องทางบอกต่อกับกลุ่มสมาชิก และยังสามารถสื่อสารพูดคุยกับผู้อ่าน แฟนคลับหนังสือได้เป็นอย่างดี และรับฟังข้อคิดเห็นเสนอแนะเพื่อนำมาใช้ในการปรับปรุงเนื้อหาให้ถูกใจผู้อ่านมากยิ่งขึ้น

เห็นช่องทางแบบนี้ สำนักพิมพ์ไทยรู้แล้วบอกต่อนะครับ


ที่มา
ธุรกิจสื่อสิ่งพิมพ์จะนำไอทีมาใช้ในการสร้างรายได้เพิ่มได้อย่างไร? (บทความโดย สุธน โรจน์อนุสรณ์ ผู้จัดการแผนกการศึกษา บริษัท ตลาด ดอท คอม จำกัด)
http://www.manager.co.th/Cyberbiz/ViewNews.aspx?NewsID=9530000039486

เป็นนักศึกษาก็หารายได้จากอินเตอร์เน็ตได้

วัยรุ่นยุคนี้รู้ดีว่าประสบการณ์และรายได้ระหว่างเรียนไม่ได้หาได้จากการทำงานพาร์ทไทม์อย่างเดียว แต่สามารถหาได้จากโลกออนไลน์ด้วย วันนี้นักศึกษาที่กำลังมองหาช่องทางทำเงินบนโลกไอทีอย่าพลาด เพราะคำตอบว่าจะเริ่มที่ไหน เริ่มยังไงได้บ้าง และทำไมถึงต้องเริ่มในช่วงที่เรียนมหาวิทยาลัย รออยู่แล้วในบทความนี้


ชีวิตนักศึกษาในรั้วมหาวิทยาลัยเป็นช่วงชีวิตที่สั้นมาก ผ่านไปเดี๋ยวเดียวก็จะจบกันแล้ว นักศึกษาหลายคนรู้สึกว่าต้องการอะไรมากกว่าการเรียนในมหาวิทยาลัย โดยเฉพาะประสบการณ์ แน่นอนว่าอินเตอร์เน็ตคือทางเลือกยอดนิยมของประสบการณ์การหารายได้เสริม

บอกคนเลือกที่จะหาแผ่นป้ายตามบอร์ดคณะ หรือตามบอร์ดสาธารณะที่พูดถึงการหารายได้ทางอินเตอร์เน็ต เช่น “หารายได้ผ่านทางอินเตอร์เน็ต” หรือ “ใช้อินเตอร์เน็ตหารายได้วันละ xxx บาท” เพราะเมื่อผมสนใจติดต่อไปก็มักจะได้รับคำตอบคือให้ไปเข้าประชุมธุรกิจ และผมไม่เคยมีเวลาเข้าประชุมกับเขาเลย

ผมคิดว่า น่าจะมีการหารายได้ทางอินเตอร์เน็ตที่เป็นตัวตนมากกว่านี้และไม่ต้องเข้าประชุมธุรกิจ นั่นคือการใช้อินเตอร์เน็ตในการหารายได้ด้วยตนเอง เช่นการเป็นตัวแทนขายสินค้า ทำเว็บไซต์เพื่อติดแบนเนอร์ หรือกระทั่งสอนพิเศษ!

แต่ก่อนที่จะเริ่มทำอะไร เราสามารถแบ่งการดำเนินการเพื่อทำให้อินเตอร์เน็ตกลายเป็นแหล่งหารายได้เสริมระหว่างเรียนออกมาได้เป็นข้อๆ เพื่อให้เป็นไปได้อย่างคาดที่หวังไว้

1.วางแผน - เริ่มจากการวางแผนว่าเราจะทำอะไร ยังไง มีเวลาเท่าไรในการทำ สิ่งที่เราทำนั้นจะคุ้มกับสิ่งที่เราจะเสียไปมากน้อยเท่าใด? รบกวนเวลาเรียนของเรามากจนเกินไปหรือไม่? เพราะว่าเราเป็นนักศึกษาผู้ที่มาเพื่อศึกษา ในบางคราวเราต้องเลือกว่าเราจะเลือกอะไรเป็นหลักก็ขอให้เลือกหน้าที่หลักของตัวเอง

2.เข้าใจ - ต้องเข้าใจก่อนว่าการหารายได้ผ่านทางอินเตอร์เน็ตไม่สามารถทำให้เราร่ำรวยหรือออกผลให้เราเป็นจำนวนมากได้ภายในช่วงข้ามคืน ทุกอย่างต้องค่อยๆเป็นและค่อยๆไป เคยมีเพื่อนของผู้เขียนบางคนที่เข้าใจว่าการหารายได้ทางอินเตอร์เน็ตเมื่อทำแล้วจะต้องได้รายได้กลับคืนทันทีที่ลงมือทำ ทำให้บางคนที่เริ่มทำเห็นรายได้ที่เป็นผล (Rusult) ออกมาน้อยมากหรือแทบไม่ได้เลย ทำให้รู้สึกท้อใจและเลิกไปบ้างก็มี

3.หาข้อมูลและตอบคำถามตัวเอง - เริ่มต้นจากการหาข้อมูลจากแหล่งข่าวหรือแหล่งข้อมูลต่างๆว่าสิ่งที่เรากำลังจะทำนั้นเป็นอย่างไรบ้าง? มีความเป็นไปได้แค่ไหน? มีผู้ที่มีประสบการณ์ว่าอย่างไรบ้างและเว็บไซต์นั้นๆได้อะไรจากที่เราบ้างหลังจากที่เราได้ไปทำลงไป ไม่มีอะไรที่ฟรี 100% ขนาดเว็บไซต์ Google เองที่หลายๆท่านคิดว่าฟรีก็ยังได้ข้อมูลการใช้งานและพฤติกรรมของผู้ใช้เพื่อนำไปพัฒนาระบบค้นหาและการแสดงโฆษณาให้ดียิ่งๆขึ้น

4.ลงมือ - ลงมือปฎิบัติตามแผนที่ได้วางเอาไว้ แผนที่มีไม่ได้ทำให้เรามีรูปแบบการทำงานที่ตายตัวแต่มีไว้เพื่อเป็นแนวทางให้เรารู้สึกว่า เราไม่ได้ทำไปเรื่อยๆแบบไม่มีจุดหมาย

5.มองดู - มีคำกล่าวเอาไว้ว่า “เรามักมองตัวเราเองด้วยดวงตาของเรา แล้วเราเคยมองตัวเราด้วยดวงตาผู้อื่นหรือเปล่า?” ลองมองดูและวิเคราะห์ด้วยตัวเราเองว่าสิ่งที่เราทำนั้นเหมาะสมหรือไม่ คุ้มค่าหรือไม่? บางครั้งการถามผู้รู้ก็เป็นทางเลือกที่ไม่เลวเลยทีเดียว เพราะการถามทางผู้ที่เคยผ่านทางมาแล้วย่อมเร็วกว่าเราไปเริ่มลองผิดลองถูกเอง

โดยตามปกติในชีวิตของนักศึกษามหาวิทยาลัยนั้น นอกจากจะเรียนและเรียน แล้วยังทำกิจกรรมอีกด้วย เพื่อไม่ให้ชีวิตในมหาวิทยาลัยนั้นน่าเบื่อจนเกินไป การทำกิจกรรมยังให้ประสบการณ์ชีวิตดีๆ ที่ในบ้างครั้งในห้องเรียนอาจให้เราไม่ได้ แล้วยังได้รู้จักเพื่อนใหม่ๆ ที่มีแง่มุมที่แตกต่างกันออกไปให้กับเราอีกด้วย ซึ่งบางครั้งเรื่องที่คาดไม่ถึงอาจทำให้เราได้แง่มุมใหม่ในการหารายได้ก็ได้

ก่อนอื่น ผู้เขียนขอแนะนำลองเปิดเว็บบล็อก (Weblog) ของตัวเองขึ้นมาสักเว็บ (ในกรณีของผู้เขียนก็เป็นเว็บไซต์ http://guiltwolf.com) ซึ่งเอาไว้พูดเรื่องราวเกี่ยวกับตัวเอง เกี่ยวกับเรื่องที่เรากำลังจะทำๆอยู่บางทีก็เป็นการเปิดมุมมองใหม่ๆ ให้กับตัวเองได้ด้วยการพิมพ์ การรับฟังความคิดเห็นจากคนอื่นๆ นอกจากจากเปิดมุมมองใหม่ๆได้แล้วยังช่วยให้เราได้ระบายได้อีกด้วย หรือถ้าพูดกันตรงๆก็มีไว้อวดนั้นแหละ

แต่ถ้าพูดถึงตัวอย่างของการนำไอทีหรืออินเตอร์เน็ตเข้ามาช่วยให้นักศึกษาอย่างเราๆ หารายได้ระหว่างเรียนได้และเห็นภาพได้ชัดเจนและโดยตรงก็คงเป็นการรับสอนพิเศษ ทุกๆวันนี้ผมเห็นนักศึกษาจำนวนมากพยายามหารายได้เสริมด้วยการสอนพิเศษและก็มีเว็บไซต์ที่เห็นโอกาสเหล่านี้ โดยเปิดเป็นตัวกลางระหว่างผู้สอนพิเศษ (นักศึกษา) กับผู้เรียน ซึ่งนั่นก็ทำให้รายได้ออกมาค่อนข้างดีและ win-win (หรือที่เรียกว่าชนะทั้งคู่) ของทั้งสองฝ่ายระหว่างตัวกลางและผู้สอนพิเศษ

ตัวอย่างเช่น ผมเปิดบริการรับจัดหาครูสอนพิเศษให้ เปิดเป็นตัวกลางให้ผู้ที่อยากสอนพิเศษหารายได้เสริมและนักเรียนหรือผู้ที่สนใจหาครูสอนพิเศษ ตัวเว็บเองก็ทำหน้าที่เป็นตัวกลางระหว่างผู้สอนกับผู้เรียนเช่นให้นัดกันหรืออาจติดต่อให้ก็ได้ ซึ่งทางเว็บที่เป็นตัวกลางอาจจะได้ค่าคอมมิชชั่นหรือที่เรียกว่าค่าหัวคิวในการจัดครูสอนพิเศษอีกด้วย

ตัวอย่างรองลงมาที่เห็นเป็นจำนวนมากอีกอย่าง ก็คือการหารายได้โดยการสร้างเว็บไซต์ บล็อก (Weblog) หรือสร้างคอมมูนิตี้ (Community หรือเรียกว่าชุมชน) เกี่ยวกับเรื่องที่เราสนใจ ขึ้นมาเพื่อเป็นแบ่งบันความรู้ของเรา หรือรวบรวมคนที่สนใจในเรื่องเดียวกับเรา แล้วเปิดรับติดโฆษณาลงไปในเว็บไซต์นั้นๆเพื่อทำการหารายได้เสริมให้กับเว็บไซต์

การสร้างคอมมูนิตี้ เราต้องหาจุดเด่นในตัวเองให้รู้สึกว่าตัวเองมีอะไรแตกต่างจากคนอื่น สำหรับนักศึกษาก็ควรทำเว็บที่ตัวเองถนัดหรือในเรื่องที่ตัวเองชอบ และไม่ทำให้เสียเวลามากจนเกินไปเพราะผมยังเน้นในหัวข้อที่กล่าวไว้คือ เรามีหน้าที่ยังต้องเรียนอยู่ (ผู้เขียนไม่ได้หมายถึงให้เห็นแก่เรียนจนไม่สนใจเพื่อนฝูง)

การสร้างเว็บบล็อกขึ้นมาก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการหารายได้ที่นิยมกันมาก เพียงผู้ที่ทำเว็บบล็อกนั้นต้องการเผยแผ่ในเรื่องที่ตัวเองสนใจหรือเรื่องที่ตัวเองถนัดแล้วติดแผ่นป้ายโฆษณาก็ทำให้หารายได้ได้อย่างง่ายดายแล้ว และการดูแลรักษาง่ายกว่า Community ตรงที่ไม่ต้องคอยดูแลสมาชิกหรือคอยหาอะไรใหม่ๆแปลกๆมาลงเพื่อให้สมาชิกอยู่ใน Community นานๆ

และอีกตัวอย่างหนึ่งที่กำลังเป็นที่นิยมและทำเงินได้เป็นกอบเป็นกำคือการทำ Affiliate (หรือที่เรียกว่าพันธมิตรทางการค้า/นายหน้า) หลักการทำงานของระบบ Affiliate คือการที่เรานำสินค้าหรือบริการของเจ้าของสินค้าและบริการมาลงที่เว็บของเราเมื่อมีผู้สนใจซื้อสินค้าหรือบริการเราก็จะได้รับค่าคอมมิชชั่นหรือที่เราเรียกว่าเงินที่ปันผลให้มาการทำ ซึ่งโดยตามปกติิิ สินค้า หรือ บริการของเจ้าของสินค้าหรือบริการนั้นจะเป็นลิงค์ที่พาเชื่อมต่อไปยังหน้าสินค้านั้นๆของตัวเองโดยที่ผู้ที่ทำการโฆษณาจะได้รับผลตอบแทนหลังจากที่มีผู้ซื้อสินค้าสนใจ

ช่องทางเชื่อมมีตั้งแต่ลักษณะของลิงค์ ป้ายโฆษณา หรืออื่นๆแล้วแต่ทางเจ้าของสินค้ากำหนด โดยสินค้าที่นิยมขายมักจะเป็นสินค้าทั่วๆไปเช่น รองเท้า ของเล่น หรืออื่นๆ แต่ส่วนบริการส่วนใหญ่จะเป็นบริการให้พื้นที่เช่นทางอินเตอร์เน็ต,ของที่จับต้องไม่ได้เช่น Software (หรือโปรแกรม) หรือที่ง่ายกว่านั้นก็จะเป็น การตอบแบบสอบถามหรือการตอบแบบฟอร์มที่ทางเจ้าของสินค้าและบริการทำเอาไว้

ในบ้านเราก็มีการตอบแบบฟอร์มแบบนี้เช่นกัน (แต่ไม่แน่ใจว่ามีการทำเป็นแบบ Affiliate หรือไม่) คือการนำของรางวัลมาสุมแจกให้กับผู้ที่ตอบแบบสอบถามเป็นรางวัล ซึ่งทำให้มีผู้ตอบแบบสอบถามมาเป็นจำนวนมากเพราะสนใจในของรางวัล โดยทางเจ้าของสินค้าก็จะนำข้อมูลจากการกรอบแบบฟอร์มหรือผลสำรวจเหล่านั้นมาวิเคราะห์ตลาดต่อไป

การทำ Affiliate เป็นการหารายได้ที่ค่อนข้างนิยม ถึงขนาดมีคนตั้งบริษัทเพื่อทำเรื่องนี้โดยตรงเลยก็มี การทำ Affiliate ทำได้ไม่ยากแต่ก็ต้องใช้เวลาและประสบการณ์

หาทีมดึงเพื่อนช่วย

ขอบอกว่าไม่ใช่เรื่องยากอะไรที่นักศึกษาอยางเราๆจะสร้างทีมงานขึ้นมาช่วย เพราะในบางครั้ง เราจะทำงานคนเดียวไม่ได้ในช่วงที่เป็นนักศึกษาอยู่

นี่แหละที่ผมรู้สึกว่าเราสามารถสร้างทีมงานในระดับมิตรภาพได้โดยที่ไม่ต้องเซ็นสัญญากันให้ยุ่งยาก อาจแค่บอกให้เพื่อนๆมาช่วยแล้วอาจแบ่งผลกำไรจากการประกอบการให้ตามสมควร แต่การนำเพื่อนมาช่วยทำงานต้องดูเป็นข้อๆ

1.เพื่อนไม่ใช่พนักงาน - บางคนให้เพื่อนมาช่วยทำงานแล้วสั่งอย่างเดียว บางครั้งเราต้องเข้าใจก่อนว่าเพื่อนบางคนไม่ได้ทำเพราะตัวเงินอย่างเดียว บางคนทำเพราะอยากช่วยด้วยความสนุก-มิตรภาพ การสั่งอย่างเดียว(หรือนิสัยชอบสั่ง) อาจทำให้ทีมล่มได้ง่ายๆ แถมอาจทำลายมิตรภาพที่สร้างกันมาเสียอีก

2.เพื่อนเป็นคน - เราไม่ได้ทำงานกับเครื่องจักรเรากำลังทำงานกับคน คนที่เป็นมนุษย์จริงๆที่มีความรู้สึก และสมองสั่งการด้วยเหตุผล ในบางครั้งอยากให้รู้ว่าการหารายได้ระหว่างเรียนอยากให้รู้ว่ามันไม่ใช่เรื่องจริงจังของชีวิตและไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายที่ถ้าทำไม่สำเร็จหรือใครทำผิดพลาดลงไป แต่ อยากให้ถามถึงกันบ่อยๆว่าเป็นยังไงบ้าง? มีปัญหาอะไรไหม? คนเราเข้าใจกันได้ง่ายด้วยการถามเพื่อช่วยความรู้สึกและเราทำงานกับคนต้องใส่ใจเรื่องความรู้สึกกันด้วย

3.ทำตัวเป็นแกนนำแต่อย่าทำตัวเป็นเป็นเจ้านาย - การทำอะไรร่วมกับเพื่อนบางทีเราจะทำตัวเป็นเจ้านายเพื่อนไม่ได้ ในการทำงานร่วมกับเพื่อนเราต้องใส่ใจความรู้สึกเพื่อนๆมากๆ เพราะเรามักจะดูตัวเราในสายตาของตัวเองว่าดีพอแล้ว โอเคแล้ว แต่บางครั้งเปลี่ยนมุมมองบ้างว่าถ้าเป็นเรา เราจะรู้สึกยังไง

4.แบ่งบันเรื่องผลประโยชน์ให้ชัดเจน - คุยกันให้เรียบร้อยว่าจะแบ่งผลประโยชน์กันยังไงบ้าง คำกล่าวที่ว่า “เรื่องเงินๆทองๆไม่เข้าใครออกใคร” นี่เป็นเรื่องจริง บางครั้งเราต้องคุยกันให้เรียบร้อยเพราะบางงานคนนี้ทำงานหนักคนนี้ทำเบา จนบางครั้งทำให้คนที่ทำงานหนักก็ท้อหนีหายไปบ้างก็มีเพราะว่าผู้ที่ทำงานหนักแต่ได้รับผลประโยชน์เท่ากับคนที่ทำงานเบาก็คงจะรู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไรนัก

5.เรียนเป็นหลัก - เรามีหน้าที่หลักเป็นการเรียน ไม่อยากให้เห็นว่าการหารายได้เสริมระหว่างเรียนเป็นหลักของการมาเรียนที่มหาลัย

6.อย่าให้เงินมาบดบังมิตรภาพ - เงินซื้อมิตรภาพไม่ได้ เงินเป็นแค่ตัวกลาง การทำงานก็ทำให้เรารู้จักเพื่อนของเรามากขึ้น เช่นเดียวกับการทำกิจกรรมมหาวิทยาลัย ชวนเพื่อนมาทำก็ชวนหากเขาสนใจอย่าไปบังคับเขา ถ้าเขาไม่เต็มใจ

โดยรวมๆแล้วผู้เขียนรู้สึกว่าการทำงานเป็นทีมนี้ง่ายกว่าที่คิดมาก แต่ก็ขอให้รู้จักดูแลเอาใจใส่เพื่อนๆของเรา

ขอย้ำว่าการหารายได้ทางอินเตอร์เน็ตก็ทำให้เรามีประสบการณ์เช่นเดียวกับการทำงาน Part-Time ที่ทำให้เราได้เห็นได้รู้อะไรใหม่ๆและบางครั้งเราไม่จำเป็นต้องเฝ้าคอมพิวเตอร์ตลอดเวลา ผู้เขียนเคยฟังสัมนาที่เกี่ยวกับธุรกิจมาหลายครั้ง (เพราะเพื่อนชวนแกมบังคับ) สิ่งที่วิทยากรพูดให้ผู้เขียนฟัง (อาจเพื่อการสร้างแรงบรรดาลใจ...?) คือ “ใครบอกว่าวัยเรียนเป็นวัยเที่ยว เขาก็จะได้ทำงานไปตลอดชีวิตหลังจากเที่ยวเสร็จแล้ว ส่วนคนที่ทำงานไปด้วยเรียนไปด้วยจบออกมาก็จะสบายไม่ต้องมาทำงานไปตลอดชีวิตอีก” ผู้เขียนคิดว่าไม่จริง เวลาแค่ไม่กี่ปีไม่ได้ทำให้เกิดความแตกต่างอะไรมากมายขนาดนั้น และทุกอย่างล้วนอยู่ที่การกระทำของเราแทบทั้งนั้น

โดยภาพรวมแล้วการหารายได้ระหว่างการเรียนด้วยอินเตอร์เน็ตเป็นเรื่องที่เป็นไปได้และทำได้หากเรารู้จักการแบ่งเวลา เราจะสามารถหารายได้ได้อย่างมีประสิทธิ์ภาพโดยไม่จำเป็นต้องทุ่มเวลากับมันมากจนเกินไป และเรายังสามารถเลือกเวลาทำงานได้ มีอิสระภาพในการตัดสินใจ ทั้งหมดนี้ทำให้อินเทอร์เน็ตเป็นทางเลือกที่ไม่เลวเลยทีเดียว

----

“นิทานจะยาวสักเท่าใดนั้นไม่สำคัญ สำคัญที่นิทานเรื่องนี้จะจบลงเช่นไรต่างหาก” คำขวัญปิดท้ายจาก JK ครับ


ที่มา
เป็นนักศึกษาก็หารายได้จากอินเตอร์เน็ตได้(บทความโดย อัศนี เปลี่ยนพันธ์ http://guiltwolf.com)
http://www.manager.co.th/Cyberbiz/ViewNews.aspx?NewsID=9530000042926

เด็กศิลป์ก็ใช้อินเทอร์เน็ตหาเงินได้



แฟ้มภาพการ์ตูนฝีมือบล็อกเกอร์สาวชาวไต้หวันนาม "วานวาน"

เด็กศิลป์สมัยก่อนมีทางเลือกในการแจ้งเกิดบนเวทีมืออาชีพน้อยนัก แต่เด็กศิลป์สมัยนี้มีอินเทอร์เน็ตเป็นถนน 8 เลนที่เปิดกว้างให้ทุกคนใช้เป็นเวทีโชว์ผลงานสู่โลกกว้าง "ทำเงินบนโลกไอทีสัปดาห์นี้จะตอกย้ำว่านี่ไม่ใช่คำพูดโคมลอย แต่อินเทอร์เน็ตสามารถทำให้นักวาดรูปมือสมัครเล่นสามารถกลายเป็นนักวาดมืออาชีพได้จริง ๆ บนส่วนผสมระหว่างฝีมือ ความขยัน ความมุ่งมั่น และที่ขาดไม่ได้คือการติดตามเครือข่ายสังคมออนไลน์

การขีดๆเขียนๆน่าจะเป็นเรื่องธรรมดาของเด็กที่เรียนศิลปะ หลายคนคงจะคุ้นกับภาพที่เป็นภาพวาดบนกระดาษ บนผ้าใบ แต่ในปัจจุบันเทคโนโลยีพัฒนาไปมาก ทำให้วาดภาพไม่จำกัดอยู่บนแค่กระดาษ หรือสื่อสิ่งพิมพ์แบบเดิมๆ แต่มันถูกพัฒนาขึ้นมาให้สามารถวาดภาพในคอมพิวเตอร์และสื่อความหมายจากรูปภาพในสิ่งที่ต้องการไปให้ทั่วโลกได้รับรู้กันได้อีกด้วย

“รูปภาพหนึ่งรูป แทนคำพูดนับล้านคำ” คำพูดนี้ฟังดูไม่เกินจริงสักเท่าไร แล้วรูปภาพจากงานศิลปะ ก็สามารถใช้ไอทีในการหาเงินได้อีกด้วย แม้ในปัจจุบันการหารายได้ทางอินเทอร์เน็ตจะมีความเสี่ยงสูง แต่ก็ยังมีช่องทางสำหรับคนที่เรียนอยู่ก็สามารถหายรายได้จากอินเทอร์เน็ตโดยเอาความรู้ที่ตัวเองมีอยู่ เข้ามาประยุกต์ใช้กับอินเทอร์เน็ต และยังสามารถใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์อีก

ตัวดิฉันเองชอบและสนใจในการวาดรูปและการ์ตูนจึงเลือกเรียนในคณะที่เกี่ยวกับศิลปะ ซึ่งคิดว่าศิลปะที่เราทำอยู่น่าจะช่วยหาเงินให้เราได้ ก็ได้คิดวิธีต่างๆ โดยส่วนตัวนั้นชอบที่จะเข้าบล็อก เว็บบอร์ดพูดคุยต่างๆเกี่ยวกับเรื่องศิลปะ และเล่น hi5 รวมถึง facebook อยู่เป็นประจำ จึ่งเริ่มวาดและโพสต์ลงไปในบล็อกและ เว็บบอร์ด เพื่อให้คนเข้ามาติชมได้ และเมื่อลงรูปวาดและการ์ตูนเพื่อนๆที่เห็นก็สนใจ “เอ่ เธอวาดการ์ตูนสวยจังฉันอยากได้รูปฉันในแบบนี้ จ้างเธอวาดได้ไหม” นี่ก็เป็นอีกตัวอย่างที่เสนอมา ตอนแรกเพื่อนๆของดิฉันไม่ทราบว่าดิฉันเองชอบวาดรูปจึงไม่ได้สนใจอะไร เพราะถ้าปกติวาดรูปใส่กระดาษดิฉันก็จะเก็บไว้เฉยๆ แต่พอได้นำรูปการ์ตูนลงมาโพสต์ และได้ฟังคำแนะนำและแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับเพื่อนในอินเทอร์เน็ต ดิฉันก็สามารถหารายได้จากความสามารถที่มีอยู่ของตัวดิฉันเอง

เหนือฟ้ายังมีฟ้า การวาดรูปต่างๆ แต่ล่ะคนก็มองต่างกันไปแล้วแต่ความชอบของคนซึ่ง ควรจะหาเว็บบอร์ด ต่างๆที่ด้านที่เราชอบ สร้างบล็อกสำหรับเราเองขึ้นมาไว้ โพสต์รูป และสิ่งที่เราอยากจะโพสต์ลงไป

การเล่นเว็บบอร์ดมีผลดีต่างๆมากมาย เช่น ได้เพื่อนและได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์ของเรากับคนอื่น แต่ละคนมีความรู้แตกต่างกันออกไป อย่าคิดว่าเราเก่งแล้ว ไม่ต้องมีคนแนะนำนะคะ เพราะคนอื่นๆมองแตกต่างกันไป แม้ว่ารูปของเรามองแล้วสวยแล้วก็จริงแต่คนอื่นมองอาจจะยังไม่ใช่ การเล่นเว็บบอร์ดจึงมีประโยชน์มาก เพราะคุณจะได้เจอผู้คนหลากหลายต่างความคิด และคุณจะได้แนวคิดใหม่ๆเพิ่มขึ้นมาอีกด้วย

อย่างเช่น “ไอแป้น” การ์ตูนจากบล็อกที่ถูกทำไปทำเป็น forward mail มากที่สุด เธอชอบวาดการ์ตูนตั้งแต่เด็ก และหัดวาดรูป ทำโปสการ์ดมาเรื่อยๆและ วาดรูปลงบล็อก จนเป็นที่รู้จัก และได้ตีพิมพ์ลงหนังสือในปัจจุบัน จากแค่การโพสต์รูปการ์ตูน และทำในสิ่งที่ตนเองชอบและถนัด ก็สามารถใช้ความรู้ที่มีหารายได้ให้กับตนเอง เธอบอกว่า “เมื่อก่อนลองไปทำงานที่เป็นในบริษัทแต่รู้สึกไม่ชอบ แต่ตอนนี้ที่ทำงาน วาดรูปการ์ตูนลงเว็บ มีเพื่อนๆเพิ่มมากมาย และได้ทำในสิ่งที่ชอบ แค่นี้ก็มีความสุขแล้ว”

สำหรับการ์ตูน “ไอแป้น” เป็นการ์ตูนที่วาดไม่ยากแต่สำคัญคือสิ่งที่คนเขียนพยายามจะสื่อลงไปในภาพมากกว่า เธอมีเทคนิกในการเล่นคำ เช่น ภาพของควายที่ชื่อพวงชมพู กับลิงที่ชื่อเขียวเสวยพูดคุยกันเกี่ยวกับ “เขา” ของพวงชมพู ว่าสำหรับพวงชมพูแล้ว “เขา” สำคัญสำหรับเค้าไหม หรือว่า “ไม่มีเขาเราก็อยู่ได้”

อย่างราชินี blog ชาวไต้หวันนาม “วาน วาน” คนนี้ก็ดังประดับโลกไปแล้ว ด้วยการวาดการ์ตูนแบบง่ายๆ เขียนใน blog ของเธอเอง จนในปัจจุบัน มีผู้เข้าชมเว็บบล็อกของเธอกว่า 170 ล้านคลิก ขณะที่หนังสือของเธอมียอดขายกว่า 1 ล้านเล่ม และถูกนำมาทำเป็นภาพยนตร์แล้วจะเข้าฉายในเร็วๆ นี้ จากผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่รักด้านศิลปะ เพียงใช้สื่ออินเทอร์เน็ตแค่เล็กน้อย ชื่อเสียงและรายได้ก็เข้ามาอย่างมหาศาล

แล้วเด็กศิลปะทั่วไปอย่างเราๆ ท่านๆ จะทำได้หรอ? ทำได้ค่ะ เพียงแค่มีความฝัน มีไอเดียสร้างสรรค์ และที่สำคัญคือนำผลงานของเราที่มีอยู่เผยแพร่ให้ทุกๆ คนได้เห็น โอกาสที่จะทำเงินก็อยู่ไม่ไกลแล้วค่ะ อย่างเมื่อเดือน ธันวาคม ที่ผ่านมา ได้มีการจัดงาน “สีสันบางกอก” ที่มีการออกบูธด้านงานฝีมือและศิลปะเป็นจำนวนมาก ที่น่าสนใจคือ ทุกๆคนที่มาออกบูธและมาร่วมงาน ส่วนใหญ่เป็นคนเล่นเว็บบล็อกกันทั้งนั้นเลย คนที่มาซื้อของหรือมาให้วาดภาพ ก็จะเข้าไปติดตามผลงานต่อใน blog คราวนี้เมื่อเรามีผลงานอะไรเกิดขึ้นมาอีก ก็จะเป็นลักษณะเหมือนเพื่อนบอกเพื่อน งานของเราก็จะได้รับการชื่นชมและยกย่องมากขึ้นค่ะ

การเริ่มที่จะทำอะไรสักอย่าง อยากให้เริ่มที่ตัวเราก่อน ให้เลือกที่จะชอบและทำอย่างนั้นให้เกิดประโยชน์สูงสุด ไม่มีอะไรยากเกินไปหรอกคะ แค่เราเริ่มที่จะทำ คิดว่าน่าจะเป็นเรื่องที่น่าสนใจมาก หากนักเรียนและนักศึกษาหารายได้ในเวลาว่าง ทำให้รู้จักคุณค่าของเวลา และยังได้ความรู้สึกภูมิใจที่ได้เงินมาด้วยความสามารถของตัวเราเอง



ลักษณะการ์ตูนน่ารักอ่านสนุกที่ถูกนำไปรวมเล่ม

ที่มา
เด็กศิลป์ก็ใช้อินเทอร์เน็ตหาเงินได้(บทความโดย จารุวัลย์ อมรนุรัตน์กุล)
http://www.manager.co.th/Cyberbiz/ViewNews.aspx?NewsID=9530000047788

กลเม็ดโด่งดัง-ร่ำรวยด้วยเน็ตจาก "ดร.ป็อป"


การขึ้นอันดับ 1 ประเภท Blog ยอดนิยมของอีกผลงานดร.ป็อป "จดหมายจากเรือนจำ"

หากพูดชื่อ ฐาวรา สิริพิพัฒน์ หลายคนอาจงงว่าเป็นใครหนอ แต่หากพูดถึง "ดร.ป็อป" นามปากกาเจ้าของผลงาน The White Road หลายคนจะร้องอ๋อขึ้นมาทันที บทความนี้ดร.ป็อปจะชี้ทางให้ทุกคนโดยเฉพาะนักศึกษาได้รับรู้กลเม็ดเด็ดพรายในการเล่นอินเทอร์เน็ตให้ได้ประโยชน์สูงสุด ซึ่งชีวิตของดร.ป็อปคือสิ่งที่พิสูจน์แล้วว่ากลเม็ดนี้ใช้ได้จริง ๆ

เดอะไวท์โรดถือกำเนิดครั้งแรกตอนป๊อบอายุ 14 และมันกลายเป็นที่รู้จักทั่วประเทศตอนป๊อบอายุ 16 บนอินเตอร์เน็ตที่ www.dek-d.com โดยป๊อบไม่รู้ตัวเลยว่าพ๊อกเก็ตบุ๊คเล่มแรกในชีวิตของป๊อบนั่นเกิดจากสิ่งที่เรียกว่า Blog

Blog คือพื้นที่บนอินเตอร์เน็ตที่คนสามารถอัปเดทเรื่องราวทุกอย่างได้โดยอิสระ มันจะมีสาระหรือไม่ก็ได้ คุณแค่พิมพ์ข้อความลงไป อาจเพิ่มแต่งรูปภาพให้มีความสนใจ ใส่คลิป เมื่อเป็นที่สมจริงก็คุณเผยแพร่มันออกไป ทันใดนั้นชาวเน็ตก็สามารถเข้ามาผลงานของคุณได้ทันที

ตอนไวท์โรดเกิดขึ้นครั้งแรกบนอินเตอร์เน็ต (ประมาณปี 2544) Blog ยังไม่บูมในประเทศไทยเท่าไหร่นัก สิ่งที่ป๊อบทำกับไวท์โรดคือการอัปเดทนิยายของตัวเองอย่างสม่ำเสมอเพื่อให้ผู้อ่านได้ติดตาม อะไรดีไม่ดีจากผู้อ่านเราก็รับมาปรับปรุงแก้ไข มีการโต้ตอบระหว่างเรากับผู้อ่าน แลกเปลี่ยนความเห็นกัน

นั่นแหละคือธรรมชาติและลักษณะของ Blog ซึ่งทำให้ป๊อบตระหนักว่า “แม้คุณจะเป็นนักเรียนนักศึกษาก็สามารถใช้อินเตอร์เน็ตเพื่อสร้างรายได้!”

หลังจากไวท์โรดได้ถือกำเนิดเป็นพ๊อกเก็ตบุ๊คส์ มันก็จุดกระแสให้เด็กไทยหลายคนหันมาเขียนนิยายบนอินเตอร์เน็ตกันมากขึ้น เมื่อมีคนสร้าง Blog มาก แน่นอนว่าก็ย่อมมี “ผู้แข่งขัน” มากขึ้นตามไปด้วย นั่นส่งผลให้การเป็น “นักเขียนออนไลน์ที่โด่งดัง” ไม่ง่ายเหมือนเมื่อก่อน สมัยไวท์โรดเกิดใหม่ๆ มีนิยายไม่กี่สิบเรื่องบนเว็บเด็กดี มันจึงส่งผลทางบวกให้นิยายทุกเรื่องสามารถถูกสังเกตเห็น หรือมีอัตราการ Awareness ที่สูง แต่ตอนนี้มี Blog บนเด็กดีดอทคอมเป็นแสนเรื่อง? และทุกเรื่องล้วนแต่งโดยนักเขียนที่อยากจะมีผลงานเป็นของตัวเอง!

ประเด็นก็คือไม่มีทางที่ Blog ทั้งหมดจะสามารถถูกอ่านได้ คำถามจึงอยู่ที่ Blog ประเภทใดที่จะเตะตาผู้อ่าน?

คำตอบก็คือ Blog ที่ถูกสปอร์ตไลท์สาดใส่เขาตูมใหญ่ๆ

ท่ามกลางกระแสของการสร้าง Blog ที่บ้ากระหน่ำ Blog ที่แตกต่างและน่าสนใจเท่านั้นที่จะได้รับการเหลียวแลจากผู้อ่าน ซึ่งถ้าคุณอยากจะเป็น Blog ที่ประสบความสำเร็จจริงๆ ล่ะก็ การเหลียวแลไม่ใช่เพียงสิ่งเดียวที่คุณต้องการ

แต่คุณต้องทำให้เขาเหลียวแลซ้ำหลายๆ ครั้ง จนในที่สุดก็กลายเป็นติดพันอยู่ใน Blog ของคุณ เป็นแฟนประจำของคุณ หนักที่สุดคือกลายเป็นแฟนคลับ หรือ แฟนพันธุ์แท้ของคุณ เมื่อถึงจุดนั้นคุณจะไม่ได้เป็น “นักเขียน Blog หรือ Blogger” แต่คุณจะกลายเป็น “Blogger ที่สามารถมีรายได้” หากเรื่องของคุณมีคนอ่านมากขึ้นๆ มันจะส่งผลทำให้ผลงานของคุณติดอันดับบทความยอดนิยม แน่นอน การได้เสนอหน้าแผ่หลาบนหน้าแรกของเว็บไซต์ย่อมทำให้คนเห็นผลงานคุณมากขึ้น อัตราการ Awareness ของคุณสูงขึ้น และคุณก็อยู่ในจุดที่โดดเด่น เป็นดาราที่มีแสงสปอร์ตไลท์สาดใส่ คุณจะได้รับความสนใจทั้งจากนักอ่านและจากสำนักพิมพ์

หลายคนได้รับการติดต่อไปตีพิมพ์มีผลงานเป็นตัวเอง กลายเป็นนักเขียนที่หลายคนรู้จัก เช่น แสตมป์เบอร์รี่ เจ้าปลาน้อย ลูกชุบ พวกเขาเหล่านี้คือนักเขียนที่มีผลงานติดอันดับ Best seller มาโดยตลอด

Blog งานเขียนของป๊อบเองก็ขึ้นอันดับ 1 บ่อยๆ ครั้ง คนจึงเห็นเรา สนใจเรา คลิกเข้ามาดูเรา นำไปสู่การมีผลงาน ถือเป็นสร้างรายได้จากอินเตอร์เน็ตได้อย่างมากมายมหาศาลตั้งแต่เป็นนักเรียนนักศึกษากันเลยทีเดียว

แล้วจะทำยังไงให้คุณได้มีโอกาสเป็น Blog ที่คนสนใจล่ะ?

1.คุณต้องอัปเดทสม่ำเสมอ

การอ่านบทความบนอินเตอร์เน็ตก็เหมือนกับการคุยกับเพื่อนสักคน การอัป Blog ก็เหมือนกับการเข้ามาในห้องเรียน ถ้าเข้าไม่บ่อย ใครจะไปจำคุณได้ เข้าๆ ขาดๆ หายๆ บางทีอาจเข้าใจว่าตายไปแล้วหรือเปล่า คนก็ไม่สนใจ

แต่ถ้าคุณเข้าเรียนทุกวัน อัป Blog ทุกวันแม้คนจะไม่รู้จักแต่เขาจะเห็นคุณทุกวัน อย่างน้อยเขาก็รู้ว่าคุณแต่งตัวยังไง หน้าตาแบบไหน ยังไม่รู้ชื่อแต่ก็บอกได้ว่าเห็นบ่อยครั้ง นี่คือจุดเริ่มต้นของ Blogger ที่จะประสบความสำเร็จ นั่นคืออัปเดทบ่อยๆ

2.อัปเดทให้แตกต่าง

นิยายแบบไหนหรือ Blog แบบไหนที่มันเคยประสบความสำเร็จมาแล้วอย่าไปเดินตามเขา ช่วงไวท์โรดออกมามีเด็กหลายคนอยากเป็นนักเขียนก็เลยพากันสร้างแฟนตาซีมีโรงเรียนกันถล่มทลาย เดี๋ยวโรงเรียนโน่นนี่ ไม่มีอะไรแตกต่างไปจากเดิม เหมือนเวลาดูเสื้อ เจอแต่สีเดิมๆ แบบเดิมๆ คนก็ไม่สนใจ

จนกระทั้งมาถึงช่วงหนึ่งที่มีนิยายรักเกาหลีจุติบนโลกไซเบอร์ มันก็กลายเป็นเสื้อสีใหม่ที่มาแต่งแต้มวงการหนังสือ ทำให้คนฮือฮาไปกับมัน ทุกคนเกาหลีกันหมด เกากันทั้งวัน เกากันทุกเพศทุกวัย ในที่สุดเมื่อเกากันมากๆ มันก็กลายเป็นเสื้อเดิมอีกครั้ง

คราวนี้ก็เป็นหน้าที่ของ Blogger หน้าใหม่ที่ต้องสรรหาหนทางว่าจะทำยังไงให้เรื่องของเราไม่เหมือนใคร ให้เป็นของใหม่ที่คนอยากสนใจ ให้เขารู้ว่า “เฮ้ย ไม่เคยเห็น” ไม่ใช่ให้เขารู้สึกว่า “ก็แบบเดิม” เผลอๆ จะพาลไม่คลิกไม่สนใจเอา

3.การตกแต่ง

การตกแต่ง Blog ก็เหมือนเดิมการตกแต่งบ้าน มันจะสะท้อนความเป็นตัวคุณผ่านสีสัน ลวดลาย และอะไรอีกหลายอย่างจิปาถะ

คำถาม : คุณควรจะแต่งบ้านแบบไหน? คำตอบ : แต่งให้ตรงกับกลุ่มเป้าหมายของคุณ

หาก Blog นิยายของคุณเป็นอะไรที่โหดร้ายป่าเถื่อนซาดิสม์อมหิตวิปลาส ก็ให้มันทึมๆ หม่นๆ สร้างอารมณ์ขนพองสยองเกล้ากันหน่อย ถ้าเป็น Blog นิยายแนวรักกุ๊กกิ๊กก็สีหวานๆ ให้ดูสดชื่นหน่อย Blog นิยายแฟนตาซีก็ให้มันดูมีพลังขึ้นมาหน่อย ถ้าเป็น Blog บทความทั่วไปก็ให้เรียบง่ายเข้าไว้

คุณจะตกแต่ง Blog ตัวเองยังไงก็ได้แต่อย่ามากไป บางคนพอริจะทำ Blog แฟนตาซีพ่อก็ใส่มังกรไฟบินว่อนไปทั่วบทความ พ่นไฟซู่ๆ ซ่าๆ มีเพลงโหมโรงอลังการปิดแทบไม่ทัน มาครั้งมันฟังดูรำคาญและน่าหนวกหูป่วยจิตยิ่งนัก Blog นิยายรักบางอันก็หิมะตกกันเต็มหน้าจอ ซานต้าครอสบินผ่าน กินรีโฉบลงมา อะไรก็ไม่รู้ ดูรกและไม่อยากเยี่ยมชม ทุกอย่างควรจะมีแต่แบบพอดี ถ้าไม่มีเลยก็แย่เหมือนกัน

4.การตอบสนองผู้เข้าชม

อย่ายึดติดภาพว่า “เป็นนักเขียนต้องเย่อหยิ่งสูงส่งหงส์แดง” ไม่ใช่ หมดสมัยแล้ว ถ้าริจะเป็น Blogger ที่ประสบความสำเร็จ คุณต้องรู้จักพูดคุยกับผู้คนบ้าง

ป๊อบโชคดีที่เกิดเป็นพวกช่างจ้อ พูดมาก และพูดเยอะ ป๊อบชอบโต้ตอบสนทนากับผู้คนไปเรื่อย ใครพิมพ์อะไรมาก็ตอบเขาบ้าง ให้เขารู้สึกว่าไม่ได้พูดคนเดียว เดี๋ยวเขาจะนึกเสียวว่า “ฉันบ้าหรือเปล่า?” ไปๆ มาๆ งอน ตีจากเราไป เสียนักอ่านไปอีกหนึ่งคน ไม่คุ้มกันเลย

ป๊อบถือว่าเป็นมารยาทนะ พูดมาต้องตอบสนอง ถ้าไม่ต่อหน้าไม่กล้ากลัวว่าจะปล่อยไก่ก็ส่งเมลไปก็ได้ครับ ไม่เห็นเป็นไร เพื่อเขารู้สึกว่าเราใส่เขา เขาก็จะติดตามเราบ่อยๆ ครับ

5.อย่าลืม Contact Us

บอกเขาด้วยล่ะว่าจะติดต่อเราได้ยังไง ทางอีเมล facebook Twitter เบอร์โทร ที่อยู่ ไม่งั้นถ้าเขาสนใจเรา แต่ไม่รู้จะติดต่อเรายังไงก็สูญเปล่านะครับ และคนที่สามารถติดต่อได้ เข้าถึงได้ ย่อมนำมาซึ่งความน่าสนใจนะ

นี่คือ 5 ข้อหลักที่จะทำให้ blog ของเราเป็นที่น่าสนใจครับผม

ทว่าปัจจุบันการหารายได้ของนักเรียนนักศึกษาไม่ได้จำกัดแค่การเขียนนิยายครับ เพราะหลายคนก็สามารถหารายได้จากอินเตอร์เน็ตได้โดยเขียน Blog แนวเรื่องทั่วไปที่สังคมสนใจ

ตัวอย่างของ Blog ทั่วไปที่ประสบความสำเร็จมากและมีคนเข้าชมเป็นล้านนั่นคือ Blog ของ PuPe_so_Sweet (http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=pupesosweet) หลายคนรู้จักเขาคนนี้ในชื่อ “ปูเป้” ครับผม พี่ปูเป้เขียน Blog เกี่ยวกับเครื่องสำอางครับ แต่ไม่ใช่ขายเครื่องสำอาง เป็น Blog วิจารณ์เครื่องสำอางอย่างเผ็ดร้อนเลยล่ะครับ! หลายคนอาจจะมองว่า “โอ๊ย เครื่องสำอางไร้สาระ” แต่เปล่าเลย มันเป็นสิ่งที่หลายคนต้องการทั้งชายหญิง ไม่เกี่ยงเพศ เพราะปัจจุบันรูปลักษณ์ภายนอกเป็นสิ่งสำคัญต่อหน้าที่การงานใช้น้อยนะครับท่านทั้งหลาย

พี่ปูเป้เป็นคนที่ศึกษาเครื่องสำอางจากส่วนประกอบเป็นอย่างดี จากนั้นก็เอามาติ วิจารณ์เครื่องสำอางต่างๆ โดยอิงจากส่วนประกอบ เป็นการเขียน Blog ที่ผสมผสานความรู้ที่น่าเชื่อถือบวกกับประสบการณ์ตรงทำให้คนติดตามกันอย่างเหนียวแน่น ส่งผลให้พี่ปูเป้ได้รับการทาบทามจากสำนักพิมพ์ และได้มีหนังสือตีพิมพ์เป็นของตัวเองเล่มแรกนั่นคือ “สับแหลสวยไม่โง่” ซึ่งเป็น Best Seller อยู่ในขณะนี้

จากคนเขียน Blog ธรรมดาก็กลายเป็นนักเขียนหนังสือขายดีมีรายได้ทั้งจากหนังสือ จากอีเวนท์ต่างๆ และจากโฆษณาต่างๆ ในเว็บ สุดยอดเลยไหมล่ะครับ

ทว่าการหารายได้บนอินเตอร์เน็ตไม่ได้ขึ้นอยู่กับการเขียน Blog เพียงอย่างเดียว เพราะ Facebook กับ Twitter ก็เป็นช่องทางหนึ่งในการหารายได้เหมือนกัน

ถ้าสำหรับป๊อบในฐานะนักเขียน ป๊อบใช้ Facebook เป็นหน้า Fan page เพื่อกระจายข่าวสารต่างๆ เกี่ยวกับตัวเรา มีส่วนของบทความ ส่วนของสินค้าต่างๆ โปรโมตที่หน้าเว็บสำหรับผู้สนใจ มีพื้นที่ให้เขาสามารถโต้ตอบกับเราได้ รวมทั้ง Twitter ป๊อบก็สามารถใช้กระจายข่าวสารได้เช่นกัน

แต่ประเด็นก็คือ อย่ายัดเยียดการขายของให้ผู้อ่านมากเกินไปครับ

คนที่ตามเราบน Facebook หรือ Twitter บางครั้งเขาอยากรู้เรื่องราวของเราบ้าง ไม่ใช่เอะอะๆ ก็ขายของกันตูมๆ ป๊อบจะอัปทั้งเรื่องงาน และเรื่องส่วนตัวสลับกันไป เพราะถ้าไม่อัปงานเลยก็ไม่ได้ มีคนอยากติดตามงานเราเหมือนกัน อัปงานอย่างเดียวก็ไม่ได้ เราไม่ใช่พ่อค้า เผลอๆ ป๊อบจะเน้นเรื่องส่วนตัวมากกว่าด้วยซ้ำครับผม

เพราะป๊อบต้องการให้ผู้อ่านรู้สึกว่าเราเป็น “คน” ไม่ใช่ “คนขายของ” เหมือน “เพื่อนสนับสนุนเพื่อน” ไม่ใช่ “ลูกค้าสนับสนุนผู้ขาย”

ทว่าก็มีผู้เล่น Twitter หรือ Facebook บางประเภทที่เจาะจงตัวเองเลยว่าเป็นสื่อเฉพาะไปเลย ยกตัวอย่างเช่น Facebook ขององค์กรต่างๆ แบรนด์ต่างๆ สินค้าต่างๆ เครือข่ายของพวกเขาก็จะมีแนะนำโปรโมรชั่น สินค้าตัวใหม่ตลอดเวลา ซึ่งแฟนๆ ของสินค้าก็สามารถไปสมัครเป็นแฟนได้

แต่ที่ป๊อบจะยกตัวอย่างคือเหล่า Facebook ที่ทำขึ้นอย่างสร้างสรรค์และไม่เหมือนใคร เช่น แมกาซีนออนไลน์ Poppaganda ซึ่งเป็นชื่อใหม่ของนิตยสาร Pop ที่เราหลายคนคงเคยได้ยิน (www.facebook.com/poppaganda)

Facebook นี้จะอัปเดทบทความวิจารณ์ ไลฟ์สไตล์ และความรู้ใหม่ๆ เกี่ยวกับอารยธรรมป๊อบทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นเพลง ภาพยนตร์ สถานที่ท่องเที่ยว อุปกรณ์ไฮเทค บลาๆ สารพัด และที่ทำให้คนติดตามกันเหนียวแน่นก็เพราะภาษาเจ็บๆ โดนๆ ที่เปรี้ยวเข็ดฟันเสมอ ส่งผลให้หน้าเว็บไซต์ของ Poppaganda มีโฆษณาเพื่อสร้างรายได้ไปในตัวเหมือนกัน

อ้อ แล้ว Facebook ยังมีโปรแกรมให้คุณสามารถสร้างโฆษณาเองได้ด้วยนะครับ

คุณต้องสมัคร Paypal ระบบจ่ายเงินทางอินเตอร์เน็ต แล้วก็เสกสรรปั้นแต่งแคมเปญโฆษณาของคุณได้อย่างอิสระเสรี เลือกไปซิว่าจะเจาะกลุ่มไหน อายุเท่าไหร่ การศึกษาระดับใด และสิงสถิตอยู่ ณ แห่งหนตำบลใด เมื่อสรุปจำนวนกลุ่มเป้าหมายจนพอใจก็กดตกลง แล้วก็ไปตั้งราคาครับ ตรงนี้น่าตื่นเต้นมาเลยนะ คุณต้องเลือกว่าจะโฆษณาแบบไหน

1.CPC (Cost Per Click) คิดเงินตามจำนวนคลิกบนโฆษณาของคุณ

เช่น คลิกหนึ่งครั้งคุณยอมเสียสัก 0.5 เหรียญอเมริกา

2.CPM (Cost Per Mile Or cost Per Thousand) คือคิดเงินตามจำนวนคนที่เห็นโฆษณาของคุณต่อหนึ่งพันครั้ง เช่นว่า คุณยอมเสียสัก 0.5 เหรียญอเมริกาเพื่อให้คนเห็นโฆษณาของคุณ 1000 พัน

จุดประสงค์ของโฆษณาแต่ละรูปแบบนั้นต่างกันไปตามความต้องการของคุณ ยิ่งคุณจ่ายมากเท่าไหร่ โฆษณาของคุณก็จะยิ่งแสดงถี่มากขึ้นเท่านั้นครับ อัตราของค่าโฆษณาที่คุณต้องจ่ายต้องครั้งจะขึ้นอยู่กับช่วงเวลา และเงื่อนไขของกลุ่มเป้าหมายด้วยนะครับ เช่น ดึกๆ สำหรับวัยรุ่น ขั้นต่ำที่โฆษณาคุณจะได้แสดงอาจจะเป็น 0.15 เหรียญต่อคลิก อะไรก็ว่าไป ไม่ตายตัวครับผม

หากโฆษณาของคุณโดนใจ คุณก็จะสมัครมาเป็น Fan มากขึ้น ส่งผลให้รายได้ของคุณมากขึ้นตามไป

ยังครับ ยังไม่หมด หากคุณคิดจะหารายได้ขณะเป็นนักเรียนนักศึกษาล่ะก็ Youtube ก็เป็นไม้เด็ด

นักเรียนนักศึกษาแต่ละคนย่อมมีทักษะและความเชี่ยวชาญเฉพาะตัว หากคุณมั่นใจว่าความสามารถของคุณเจ๋งและแน่จริงล่ะก็ อัปคลิปลง Youtube เลยครับผม เช่น คุณเล่นกีตาร์เป็น ก็สอนกีตาร์ผ่านยูทูป เขียนโปรแกรมเป็น ก็สอนการใช้โปรแกรม หรือแม้แต่การทำอาหาร สอนเต้น เลี้ยงสัตว์ ซ่อมโน่นซ่อมนี่ มิกซ์เพลง แต่งเพลง แล้วคุณก็ทิ้งอีเมลติดต่อตัวเองเอาไว้ คราวนี้ใครสนใจก็จะมาจ้างคุณเอง

ยกตัวอย่างเพื่อนป๊อบเลย เขาชื่อาลี อาลีเป็นคนรักการเต้นมาตั้งแต่เด็ก ระหว่างเรียนเขาก็แข่งเต้น ออกแบบท่าเต้นมาตลอด และทุกครั้งเขาก็จะเอาคลิปไปลงใน youtube (http://www.youtube.com/alirezar4) จนในที่สุดผลงานก็เตะตา ปัจจุบันอาลีเป็นครูสอนเต้น เป็นนักเต้น Backup ให้กับศิลปินชื่อดังมากมาย มีรายได้ไม่ขาดสาย

หรือนักเต้นที่ชาว Youtube รู้จักกันดีแบบ Luam (http://www.youtube.com/user/luamworld) เธอเป็นนักเต้นที่บูมมาก คลิปเต้นแต่ละอันของเธอมีคนเข้าชมเป็นหมื่นเป็นแสน จนในที่สุดเธอก็เปิดโรงเรียนสอนเต้นเป็นของตัวเอง ลูกศิษย์ลูกหาเยอะมากๆ เลย

อีกตัวอย่างที่มาแนวสร้างสรรค์มากๆ คือเพื่อนของป๊อบชื่อ ลูกกอล์ฟ จากรายการ LG & Friend ตอนไปเรียนที่อังกฤษลูกกอล์ฟได้ถ่ายวีดีโอบล๊อกประสบการณ์ของตัวเองเอาไว้ เมื่ออัปลงอินเตอร์เน็ตปรากฏว่ามีคนติดตามมากมาย เป็นที่พูดถึง ด้วยการนำเสนอที่แปลกแหวกแนวส่งผลให้ลูกกอล์ฟโด่งดังเป็นเซเลปบนอินเตอร์เน็ต

ปัจจุบันลูกกอล์ฟกลายเป็นนักแสดงซีรีส์ซิตคอมเรื่อง “เนื้อคู่อยากรู้ว่าใคร” และกำลังเปิดสถาบันสอนภาษาอังกฤษชื่อว่า “Angkriz” อีกด้วย

ตัวป๊อบเองก็มีผลงานเพลงมากมาย หลายครั้งที่ป๊อบทำ remix เพลงที่ชอบลงใน youtube (http://www.youtube.com/drpop2009) พอคนเห็นความสามารถเราเขาก็มาติดต่อให้ทำให้เขา มีหลายชาติเลยครับทั้งอังกฤษ อเมริกา กลายเป็นว่าเราสามารถโฆษณาผลงานเราได้ฟรีๆ และได้รายได้ดีด้วย

เห็นไหมครับ ไม่ว่าคุณจะมีทักษะความสามารถด้านใด หากคุณกล้าพอและแน่จริง Youtube สร้างรายได้ให้คุณได้แน่นอนครับ

จากสิ่งที่พูดมาทั้งหมดนั่นแสดงให้เห็นว่าไม่ว่าคุณจะเป็นใคร แต่หากคุณมีใจรักในอะไรสักอย่าง สร้างเครือข่ายของคุณขึ้นมา คุณก็สามารถหารายได้ แต่ต้องไม่ลืมว่า “การสร้างเพื่อนนั้นสำคัญกว่าการสร้างลูกค้าเสมอ” ยัดเยียดการโฆษณาบ้าระห่ำปวดตับมากเกินไป เขาก็จากคุณไปง่ายๆ นะครับ

ดังตัวอย่างที่ยกมาทั้งหลายทั้งปวงคุณคงเห็นแล้วว่าอินเตอร์เน็ตนั้นเป็นช่องทางในการหารายได้ที่ดีมาก เพราะ

1.ไม่ต้องลงทุนมากนัก - อยู่บ้านก็ทำได้ นั่งเฉยๆ ชิลๆ กดๆ จิ้มๆ

2.ดีไซน์ได้ตามความชอบใจ – ตกแต่งได้ตามความต้องการ แต่ต้องมีความรู้ภาษาคอมพิวเตอร์ระดับหนึ่ง

3.โต้ตอบกับผู้อ่านได้ – อันนี้สำคัญมาก เขาต้องการอะไรบอกเขา เขาพูดอะไรเราได้ยินเขา

แต่ข้อเสียของมันก็มีเหมือนกัน

1.เว็บเยอะ การแข่งขันสูง ต้องเด่น ต้องโดน คนจะติดตาม

2.การแสดงความเห็นมีอิสระสูงมาก พวกป่วนๆ เยอะ บางทีมีคำพูดดิสเครดิต

3.บางคนเห่อเป็นช่วงๆ พอไปถึงจุดหนึ่งก็หยุดทำ เสียฐานผู้เข้าชม ลงทุนแล้วสูญเปล่า

ป๊อบหวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์กับทุกท่านไม่มากก็น้อย การหารายได้ทางอินเตอร์เป็นเรื่องที่ไม่ยากจนเกินไป เพียงแค่คุณต้องใจ เสมอต้นเสมอปลาย มีความคิดสร้างสรรค์ และบริหารตัวเองได้ คุณจะประสบความสำเร็จแน่นอนครับผม

ขอบคุณครับ ^O^
ที่มา
http://www.manager.co.th/Cyberbiz/ViewNews.aspx?NewsID=9530000050437