วันอังคารที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2554

เจาะลึกธุรกิจตู้หยอดเหรียญ โอกาสติดอาวุธค้าปลีก

เจาะลึกธุรกิจตู้หยอดเหรียญ โอกาสติดอาวุธค้าปลีก

เมื่อ 10 ปีก่อน ที่ตู้น้ำหยอดเหรียญเกิดขึ้นมา ใครจะนึกว่าตลาดจะยอมรับได้ แต่ในที่สุด วันนี้กิจการตู้น้ำมีบริการในทุกหมู่บ้านเข้าถึงทุกหย่อมหญ้า ตู้จำหน่ายสินค้าหยอดเหรียญ ถึงแม้มีมานานแล้ว แต่ที่ผ่านมายังไม่ถึงจังหวะที่บูมมากนัก แต่ในไม่ช้า คาดว่าการค้าขายแบบที่ไม่อาศัยหน้าร้าน ไม่ต้องใช้คน จะกลายเป็นเทรนด์ใหม่ของการค้าปลีกจะมาถึงอย่างแน่นอน

นายวิโรจน์ ฤกษ์ศิริวรรณ นายกสมาคมธุรกิจหยอดเหรียญไทย และ กรรมการผู้จัดการบริษัท กู๊ดดริ๊งส์ จำกัด เปิดเผยว่า การเติบโตของกิจการตู้หยอดเหรียญไม่ต่ำกว่า 20% คาดว่ามูลค่าตลาดรวม น่าจะประมาณ 4,700 ล้านบาท จำนวนผู้ประกอบการในธุรกิจมีประเภทนี้ มีประมาณหลักร้อยราย การเติบโตสำหรับปีนี้คาดว่าน่าจะเติบโตมากกว่า 20% เนื่องจากวิถีชีวิตคนไทยเปลี่ยนไป มีพฤติกรรมคุ้นเคยกับการใช้บริการหยอดเหรียญมากขึ้น สองค่าแรงงานที่จะสูงขึ้น ทำให้ผู้ลงทุนมองว่า กิจการหยอดเหรียญนี้จะเป็นทางเลือกที่ดี เพราะเป็นการลดคน ผมบอกได้เลยว่า ขณะนี้ธุรกิจหยอดเหรียญอยู่ในภาวะขยายตัว ในทิศทางที่ดีมากด้วยและเร็วด้วย ใครจะเคยคิดว่า ณ วันนี้ ตู้เติมเงินมือถือจะขายได้ถึงเดือนละเป็นพัน ประเด็นอยู่ที่ว่า คนที่อยู่ต่างจังหวัดไม่มีช่องทางที่จะมารับข้อมูลข่าวสาร และเชื่อว่าในอนาคตจะไปอย่างรวดเร็ว เพราะเป็นธุรกิจ 24 ชั่วโมง เพียงแต่ใครจะเร็วจะช้าเท่านั้น

ด้านนายสมบัติ มงคลชนะชัย ผู้จัดการฝ่ายการตลาด บริษัท ซันร้อยแปด จำกัด ธุรกิจให้บริการตู้จำหน่ายอาหารและเครื่องดื่มหยอดเหรียญ ในเครือของ สหกรุ๊ป กล่าวถึงตลาดตู้หยอดเหรียญว่า “ตู้ทั่วไป ตู้น้ำ ตู้เติมเงิน ตู้เครื่องซักผ้า ในช่วงที่ผ่านมาเติบโตเร็วมาก เป็นภาพรวมที่ดี เป็นการโตในแนวของค้าปลีกที่ไม่อาศัยหน้าร้าน ซึ่งเทรนด์นี้จะมาเยอะไม่ว่าจะเป็นค้าขายผ่านออนไลน์ ขายสินค้า ส่งถึงบ้าน หรือ การขายผ่านตู้หยอดเหรียญ ซึ่งจะเป็นอาวุธใหม่ของธุรกิจค้าปลีก”


กู๊ดดริ๊งส์ ขยายตัวทุกรูปแบบ

กู๊ดดริ้งค์ เป็นตัวอย่างหนึ่งในกิจการตู้หยอดเหรียญ ที่ทำมากว่า 9 ปีแล้ว โดยเริ่มจากมีโรงงานไฟเบอร์กลาส ผลิตโครงตู้ เฟอร์นิเจอร์ ซึ่งเป็นงานระหว่างพลาสติกกับงานไม้ และงานดีไซน์ ทำให้กู๊ดดริ๊งส์ รับจ้างผลิตโครงตู้น้ำให้กับกลุ่มคู่ค้า และเมื่อมีช่องทาง จึงเข้าสู่ธุรกิจจำหน่ายตู้น้ำหยอดเหรียญอย่างเต็มตัว โดยบริการหลังการขาย ดูแลแบบครบวงจร และพัฒนาตู้น้ำตอบสนองการใช้งานของลูกค้า เช่น เพิ่มระบบล้างช่องรับน้ำอัตโนมัติ ทุกๆ สองชั่วโมง เพื่อล้างฝุ่นละออง มีห่วงแขวนขวด เพื่อเวลาเติมน้ำได้ ไม่ต้องเล็ง ไม่ต้องถือ เพิ่มความสะดวกสบายให้ลูกค้า เป็นต้น ปัจจุบัน มีตู้น้ำในแบรนด์ กู๊ดดริ๊งส์ ตั้งให้บริการอยู่ประมาณ สี่พันตู้ โดยมีผู้ซื้อตู้ไปตั้งบริการ 80-90% เปอร์และที่เหลือทางบริษัทลงทุนเอง

นอกจากนี้แล้ว ยังมีรูปแบบการลงทุน ให้สวมสิทธิ คือ หากใครสนใจตู้ในทำเลของทางบริษัทตั้งอยู่แล้ว ก็สามารถซื้อไปทำต่อได้ และยังมีในรูปแบบ รับผลิต ซึ่งปัจจุบันก็มีการผลิตให้กับแบรนด์อื่นอยู่ด้วย คุณวิโรจน์ อธิบายว่า“ผมมองว่านี่ก็เป็นอีกธุรกิจหนึ่งที่มีความเสี่ยงน้อยที่สุด สมมุติว่า เราไปตั้งที่หนึ่งแล้วไม่สำเร็จ สิ่งที่จะเสีย ก็คือค่าใช้จ่ายในการย้ายสถานที่ ย้ายจุดติดตั้งใหม่ ไม่เหมือนเปิดเป็นร้านย้ายลำบาก เราก็เหมือนรถเข็นน่ะ ขายไม่ดีตรงนี้ก็ย้ายไปที่ใหม่ แล้วอีกอย่าง คุณไม่ต้องมานั่งดูตลอด 24 ชม”


108 เวนดิ้ง เปิดตัวตู้จำหน่ายสินค้า รับเทรนด์ค้าปลีกแนวใหม่

กิจการตู้หยอดเหรียญ ในเครือของสหกรุ๊ป ทำนานกว่า 10 ปี แล้ว โดยมีตู้วางบริการ ทั้งในกรุงเทพฯ และเขตปริมณฑล คือ อยุธยา ชลบุรี โคราช รวมกว่า 5,000 ตู้ ซึ่งเป็นตู้ของทางบริษัทเอง ทำให้มีประสบการณ์ในการ บริหารจัดการเรื่องของธุรกิจนี้โดยตรง มาอย่างยาวนาน ปัจจุบัน ธุรกิจตู้จำน่ายสินค้าหยอดเหรียญนี้ ได้ดำเนินงานโดยบริษัทในเครือของสหกรุ๊ป ในชื่อของ บริษัท ซัน 108 จำกัด ที่จำหน่ายตู้จำหน่ายสินค้าหยอดเหรียญภายใต้เบรนด์ 108 เวนดิ้ง เพื่อกระจายธุรกิจไปสู่รายย่อย ในจุดที่ยังไปไม่ถึง

นายสมบัติ กล่าวต่อว่า ทุกวันนี้ ลูกค้ามีความคุ้นเคยและมีความเข้าใจในการซื้อสินค้าจากตู้หยอดเหรียญมากกว่าเมื่อก่อนมาก เป็นเวลาที่เหมาะสม จากประสบการณ์ที่เราทำเอง เรารู้ว่าการลงทุนลักษณะนี้ มันให้ผลตอบแทนที่ดี เวนดิ้งเป็นอาวุธค้าปลีกอันหนึ่งที่มีพลัง มีพื้นที่ที่ตู้นี้ควรไปตั้งให้บริการได้อีกมโหฬาร แต่ถ้าไกลกว่านี้ก็ต้องการคนมาดูแล

ทั้งนี้สินค้าตู้จำหน่ายสินค้าของ 108 เวนดิ้งนั้น ประกอบด้วย

1.ตู้ เคน (Can&Bottle) หรือตู้จำหน่ายสินค้าหยอดเหรียญ แบบกระป๋อง ซึ่งสามารถขายสินค้าที่บรรจุแบบขวดพลาสติก แบบขวด PET ได้ ตู้แบบนี้ ง่ายสำหรับการเริ่มต้นธุรกิจ เพราะสินค้าเครื่องดื่มกระป๋อง จะขายง่าย และเป็นสินค้าที่ขายดี ถึงจุดคุ้มทุนง่าย

2.ตู้คัพ หรือ ตู้ม่าม่า (Cup Noodle) ตู้ชนิดนี้ ราคาจะสูงกว่าตู้เคน ทำให้ผู้ที่ลงทุนซื้อตู้นี้ อาจมีการเทียบราคา กับผลตอบแทนที่จะได้รับ ระยะเวลาที่จะคืนทุนอาจนานกว่า แต่จุดเด่นก็คือ เป็นตู้ขายเป็นอาหาร ที่เหมาะกับการให้บริการลูกค้า เช่นหอพัก หรือในที่ที่หาของกินได้ยากเป็นต้น ที่จะสร้างรายได้ในจุดที่คนมองข้าม

3.ตู้ จำหน่าย กาแฟสดหยอดเหรียญ (JBC II) ซึ่งเป็นสินค้ายอดนิยม เพราะมีการบดเมล็ดกาแฟให้เห็นในตู้ อีกทั้งกาแฟสดที่ได้มีรสชาติดี และมีปุ่มให้เลือกแบบของเมนูกาแฟ คือ เอสเพรสโซ,อเมริกาโน,คาปูชิโน,ม็อคค่า,ลาเต้ และช็อคโกแลต จุดเด่นของตู้นี้คือ เน้นที่กาแฟสด และทำกาแฟได้ 190 ถ้วยต่อวัน ราคาตู้ไม่สูง นำไปทำเป็นอาชีพได้ คืนทุนเร็ว

4.ตู้ซีทรู (See Through) คือตู้ขายสินค้าที่เป็นนวตกรรมใหม่ ขายความเป็นไฮเทค สามารถขายสินค้าได้ทุกประเภท ข้างในจะใส มองเห็นสินค้าชัด และจะใส่อะไรขายก็ได้ เป็นนม น้ำขวด หรือ เบเกอรี่ ก็ได้ จุดเด่นของตู้นี้ คือมีลิฟท์มารับสินค้า ต่างจากตู้ทั่วไปสินค้าจะตกลงมา ทำให้ลูกค้าจะตื่นตาตื่นใจกับเทคโนโลยี ซึ่งจะช่วยการเพิ่มยอดขายได้ดี แต่ตู้ชนิดนี้ก็มีข้อจำกัดนี้ก็มีข้อจำกัดที่ตู้ยังผลิตได้น้อยอยู่

โอกาสอยู่ที่ไหน???

จากประสบการณ์ ที่ยาวนานในการเป็นผู้จำหน่ายสินค้าหยอดเหรียญรายใหญ่ที่สุด ทำให้ ซันร้อยแปด มีความเข้าใจเป็นในธุรกิจนี้เป็นอย่างดี คุณสมบัติ กล่าวว่า เวนดิ้งเป็นธุรกิจที่ดี เป็นบลูโอเชียน ต้องมองว่าตู้เป็นตัวแทนขายของคุณ ต้องหาที่ให้เหมาะสมกับเขา โดยไม่ต้องใช้คนเยอะแยะ ให้มันขายตัวของมันเอง ขายในที่ที่ลูกค้าขาดความสะดวก หาของอะไรกินลำบากเหลือเกิน นั่นแหละคุณได้ขาย แต่ต้องมีจำนวนลูกค้าระดับหนึ่ง ในตลาดต่างจังหวัดโอกาสยังมีอีกมาก ที่เชียงใหม่ตลาดใหญ่มาก เพราะมีโรงแรม รีสอร์ท โดยเฉพาะตู้กาแฟสดหยอดเหรียญ

“ผู้ที่มีทำเลดี หรือเจ้าของคอนโด อาจารย์ในมหาวิทยาลัย หรือบางคนทำซุปเปอร์มาเก็ตใต้ถุนตึกหอพักอยู่แล้ว ทำให้ไม่มีเวลาไปดูธุรกิจอย่างอื่น แต่ถ้าเอาตู้ไปลงอีก 5-6 หอใกล้ๆ ก็ไม่ต้องไปดูแลมาก เอาตู้มาม่ามาลง กับตู้เคนขายเครื่องดื่ม เพราะซุปเปอร์มาเก็ตบางที่เปิดไม่เกิน 5 ทุ่มก็ปิดแล้ว เด็กหอ มหาวิทยาลัยนอนดึก จึงเป็นโอกาสที่ดี อย่างเช่น ร้านขนมปังอบสดที่ขายดี ก็อาจมีตู้กาแฟสดหยอดเหรียญ ไว้บริการลูกค้า คือเป็นการ ใช้สถานที่มีอยู่แล้วมาสร้างเงิน หรือถ้าเป็นนักธุรกิจที่มีสายสัมพันธ์ที่ดีกับกลุ่มกิจการอื่นๆ ก็ยิ่งง่าย หรือกลุ่มเจ้าของกิจการที่คุ้นกับการลงตู้อยู่แล้ว ถ้ามองว่าคอนเซ็ปท์นี้น่าสนใจ ก็เป็นช่องทางเพิ่มรายได้ขึ้นมาอีก หรือบางคนประมูลสหกรณ์ในโรงเรียน เอาตู้ขายของกินมาลง ขายของมีประโยชน์ต่อสุขภาพ เช่นนม น้ำผลไม้ เป็นต้น” นายสมบัติกล่าว

สำหรับโอกาสในการทำตู้จำหน่ายสินค้ากับ 108 เวนดิ้งนั้น เปิดช่องทางในทุกรูปแบบ เช่น ซื้อตู้ หรือผ่อนชำระกับธนาคารดอกเบี้ย 0% ในงาน Biz Expo , หรือต้องการเป็นดีลเลอร์, หรือต้องการเป็นแฟรนไชส์ บริหารจัดการธุรกิจตู้ในเขตพื้นที่ เป็นต้น ซึ่งสามารถตกลงกันเป็นกรณีๆไป

ทำอย่างไรให้ได้เงิน

คุณสมบัติ แนะวิธีทำกิจการตู้หยอดเหรียญ ให้ประสบความสำเร็จว่า

1.ขายในที่ไม่สะดวก จุดหลักของตู้หยอดเหรียญ คือ ที่ตรงไหนไม่มีความสะดวกตรงนั้นได้ขาย

2.หมั่น ดูแลตู้ สินค้าต้องเติมเสมอ ดูแลทำความสะอาด เพราะตู้ขายสินค้าไม่เหมือนตู้น้ำ ต้องมีการตรวจเช็ค และเติมสินค้าทุกวัน โดยเฉพาะตู้กาแฟ ที่ต้องมีการทำความสะอาดเป็นอย่างดี หากไม่ดูแล กิจการนี้ก็จะล้มเหลวทันที

3.เลือกสินค้าให้เหมาะกับตลาด เลือกสินค้าที่ลูกค้าชอบกิน เช่นว่าที่นี่มีกลุ่มลูกค้ากินเอ็ม 100 ก็ต้องเอาเอ็ม 100 มาใส่ตู้ หรือ ถ้าลูกค้าชอบดื่มโออิชิ หรือบางที่ชอบกินนมเปรี้ยว ต้องอ่านความต้องการของลูกค้าให้ออก

4.ต่อรองสินค้าให้ได้ต้นทุนถูก สินค้าที่นำมาขาย สามารถหามาเองได้ ดังนั้น หากสามารถหาสินค้าได้ราคาถูกและดี หรือ ถ้ามีจำนวนจุดเยอะ ก็อาจมีอำนาจต่อราคาที่ดีขึ้น ก็จะมีกำไรมากขึ้น

5.สถานที่ตั้งทำเงิน การเลือกทำเล ก็มีหลีกคล้ายกับร้านสะดวกซื้อ เช่น ถ้าตั้งในโรงาน ก็ควรมีพนักงานที่ 500-1,000 คน ถ้าเป็นสำนักงาน ก็ต้องมีความคึกคักในการสัญจรมาก แล้วต้องศึกษา สินค้าคู่แข่งด้วยว่ามีหรือไม่ แต่อย่างไรก็ตามความได้เปรียบของการค้าขายของผ่านตู้ก็คือ ย้ายทำเลใหม่ได้ ตัวเลขที่ทำเงินก็ควรจะขายไม่ต่ำกว่า 8,000 บาทต่อเดือน ถ้าลองตั้งแล้วไม่ทำเงิน ก็ย้ายออก ทำเลที่ควรเลือกสำรวจ ก็คือ โรงงาน สำนักงาน โรงเรียน หอพัก คอนโด โรงพยาบาล สนามบิน โรงอาหารพนักงาน สถานที่จัดงานเทศกาลต่างๆ สถานีรถขนส่งมวลชนต่างๆ เป็นต้น


นวัตกรรม ตู้หยอดเหรียญ สร้างสรรค์ธุกิจใหม่

ตลาดของตู้หยอดเหรียญยังไปได้อีกไกล ซึ่งขึ้นอยู่กับแต่ละค่ายว่า จะจัดการพัฒนา ความสามารถเครื่องของตัวเองได้แค่ไหน ใครมีโนว์ฮาวมากกว่ากัน เช่น พัฒนาเป็นตู้ขายอาหารร้อน พร้อมทาน ตู้ขายเบเกอรี่ ตู้ไอศกรีมหยอดเหรียญ หรือจะมีลูกเล่นที่ไฮเทค เป็นเครื่องจอสัมผัส หรือตู้ที่ใช้การ์ดซื้อสินค้าได้ หรือ ประยุกต์การขายอาหารที่ลูกค้าเลือกทำเองได้ หรือในกรณีของตู้น้ำ อาจจะมีการพัฒนาเพื่อให้ลดต้นทุนลงและขายถูกลงได้ หรือมีลูกเล่นในการดีไซน์ให้สะดุดตา หรือพัฒนาไปในแนว เพิ่มบริการอื่น เช่นวัดอุณหภูมิร่างกายฟรี เช็คอัตราการเต้นหัวใจฟรี เพิ่ม เป็นนวัตกรรมใหม่เข้าไป เป็นต้น หรือบางคนอาจจะเห็นช่องทาง ขายอาหารปลาตามวัด เพื่อลดคนดูแล หรือขายดอกไม้ธูปเทียน แผ่นทอง ในวัด ซึ่ง โอกาสมีมากมาย ขึ้นกับว่าใครจะมีไอเดีย สร้างสรรค์ขึ้นมาเป็นธุรกิจอะไร และพัฒนาขึ้นมาได้หรือไม่

ในตลาดการค้าปลีกมีการแข่งขันหน้าร้านสูงมากอย่างที่เราเห็นกัน เราจะเห็นว่า ซุปเปอร์มาเก็ตใหญ่ๆ มีการเสนอบริการส่งสินค้าถึงบ้านแล้ว นั่นแสดงว่า มีการขายแบบไม่อาศัยหน้าร้านเกิดขึ้นแล้ว ตู้หยอดเหรียญ คือการค้าปลีกอีกรูปแบบนี้ที่จะทรงพลัง และจะมีบทบาทมากยิ่งขึ้น โดยมาพร้อมกับพัฒนาเทคโนโลยี และการสร้างสรรค์สินค้า-บริการ แปลกๆใหม่ๆให้ตื่นเต้นในวงการ อีกทั้ง ค่าแรงที่เพิ่มสูงขึ้นตามกฎหมาย ก็อาจจะผลักดันให้ผู้ประกอบการหันมามอง การลงทุนในรูปแบบที่ไม่ต้องจ้างคน

ใครสนใจศึกษาข้อมูลธุรกิจคู้หยอดเหรียญให้รอบด้านกว่านี้ สามารถดูตู้หยอดเหรียญจริงตามต้องการได้ในงาน Biz Expo 2011 มหกรรมสร้างสรรค์ธุรกิจไร้ขีดจำกัด ซึ่งจะมีขึ้น ระหว่างวันที่ 4-6 พฤศจิกายนนี้ ที่ศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซา แจ้งวัฒนะ




ที่มา
http://www.manager.co.th/SMEs/ViewNews.aspx?NewsID=9540000126369

วันพุธที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2554

"Facebook Page"

ทำเงินบนโลกไอที : ตอบทุกเรื่อง "Facebook Page"

ผู้ประกอบการรายย่อยชาว SME หลายค่ายรู้ดีว่า Facebook Page คือเครื่องมือสำคัญในการทำการตลาดดิจิตอล แต่คำถามสุดเบสิกที่มักเกิดขึ้นคือ Facebook Page นั้นจะสร้างได้อย่างไร บทความนี้ไม่เพียงประกอบด้วยวิธีการสร้าง Facebook Page ฉบับมือใหม่ (มาก) แต่ยังมีรายละเอียดเล็กน้อยๆที่สามารถเป็นประโยชน์ให้กับมือใหม่ในระยะยาว

***SME ก็สร้าง Facebook Page เองได้ บทความโดย @sw_jarjah

สวัสดีแฟนๆ ทำเงินบนโลกไอทีทุกท่าน เหลืออีกเพียงไม่กี่เดือนก็จะเข้าสู่เทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่กันแล้ว ช่วงเทศกาลแห่งของขวัญและการส่งความสุข แน่นอนว่าเจ้าของธุรกิจ สินค้าและบริการหลายๆ ท่านคงต้องการให้สินค้าและบริการของตนเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลาย ยิ่งในปัจจุบันผู้คนหันมาใช้ Social media กันมาก โดยเฉพาะ Facebook ที่เข้ามามีอิทธิพลในชีวิตประจำวันของพวกเรา

แล้วใยเราจะไม่เข้าไปหาฝูงชนเสียเอง

ธุรกิจ บริษัท มากมายล้วนแล้วแต่สร้างตัวตน (Profile) หรือเพจ (Page) บน Facebook เพื่อสร้างความสัมพันธ์อันดีกับลูกค้าหรือคนที่ใช้สินค้าหรือบริการ แม้แต่ผู้ประกอบธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมก็มิควรมองข้ามข้อดีข้อนี้ไปได้ และการสร้าง Facebook page ซึ่งถือเป็นเครื่องมือประชาสัมพันธ์ออนไลน์ประเภทหนึ่งที่ยังคงมีประสิทธิภาพและที่สำคัญลงทุนต่ำ หรือแทบจะเรียกได้ว่า ไม่มีต้นทุนเลยเสียด้วยซ้ำ (แฟนๆ สามารถอ่านเพิ่มเติมสำหรับเครื่องมือในการใช้ Facebook และ Twitter อย่างไรให้ยอดขายพุ่งกระฉูด ได้ที่ http://manager.co.th/Cyberbiz/ViewNews.aspx?NewsID=9540000048660)

ฟังดูแล้วอาจจะเป็นเรื่องยากสำหรับผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตทั่วไป วันนี้ทำเงินบนโลกไอทีขอหยิบยกการสร้าง Facebook page มาเพียงส่วนเดียวก่อน เพื่อเป็นขั้นเริ่มต้นของการแทรกซึมการประชาสัมพันธ์สินค้าและบริการให้กับกลุ่ม SME หรือบุคคลทั่วไปได้รู้จักลูกเล่นการทำงานของ Facebook เพิ่มมากขึ้น


***ขั้นตอนของการสร้าง Page

1. เพียงแค่คุณมี E-mail address ก็สมัครเข้าใจ Facebook ได้แล้ว หรือหากมี Facebook account อยู่แล้วก็สามารถ Login เข้าใช้งานได้เลย

Tips : ความเข้าใจเบื้องต้นถึงหลักการทำงานของ Facebook page คือ Page จะต้องมี admin (Profile) ดูแล page และ admin สามารถมีได้มากกว่า 1 คน

2. คลิก Create a page ที่ด้านท้ายของหน้าแรกก่อน Login หรือหาก Login แล้วจะอยู่ด้านล่างช่วง Footer หลังจากนั้นก็ทำตาม step ที่ Facebook แนะนำให้สมบูรณ์

3. เริ่มต้นตกแต่ง Page ของคุณ ด้วยการรูปภาพตำแหน่งด้านซ้ายมือบน ซึ่งตำแหน่งนี้เป็นตำแหน่งที่สำคัญมาก เพราะเป็นตำแหน่งที่คนจะพบเห็นได้ชัดเจนที่สุด และสามารถใส่ภาพได้กว้างที่สุด 180 pixel และยาวที่สุด 540 pixel หลังจากใส่รูปภาพแล้ว ให้ทำตามขั้นตอนที่ Facebook แนะนำจนเสร็จสมบูรณ์

4. ควรใส่ข้อมูลของธุรกิจ สินค้า หรือบริการ ที่มี Keyword ซ่อนอยู่ใน Info page ในช่อง Name และ About เนื่องจาก Google จะเข้ามาจับ Keyword ในส่วนนี้

***4 ข้อต้องท่องให้ขึ้นใจ

"ยิ่งโพสต์มาก ยิ่งปรากฏกายมาก การพบเห็นยิ่งมาก การเยี่ยมชมก็จะยิ่งมาก" ถือเป็น 4 ข้อหลักที่เจ้าของ Facebook page ต้องจำให้ดี เพราะการพูดคุยบน Wall เป็นสิ่งสำคัญที่ต้องทำเป็นประจำทุกวัน และจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีผู้ดูแลในการตอบคำถามต่างๆ ของผู้ที่เข้ามาติดตามข่าวสารของเราบน Facebook page แต่ละโพสต์สามารถทำได้ ดังนี้

1. พิมพ์ข้อความในช่อง Status บน Wall ได้มากที่สุด 500 ตัวอักษร ผู้คนสามารถ Like / ให้ comment และช่วย Share ข้อความนั้นๆ ต่อได้

2. โพสต์รูปภาพ และใส่ข้อความประกอบได้ไม่จำกัดตัวอักษร ผู้คนสามารถ Like / ให้ comment / ช่วย Share และช่วย Tag ภาพนั้นๆ ต่อได้

***ทำไมต้องเป็น Page

• Page ไม่ต้องรอ Accept friends ดังนั้น ผู้ที่มากด LIKE จะสามารถติดตามข่าวสารได้อย่างทันทีทันใจ
• Page สามารถใช้ Application ต่างๆ ร่วมด้วยได้ เช่น การสร้าง Tab / การใช้ RSS
• Page มียอด Fan ได้ไม่จำกัด ยิ่งยอด LIKE มากเท่าใด ข้อความที่โพสต์จะถูกพบเห็นมากเท่านั้น
• Page มีรายงานสถิติวิเคราะห์การเข้าชม Page ให้ Admin ทราบเป็นระยะ ข้อมูลดังกล่าวจะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนา Page

Tips : Page สามารถตั้งชื่อ Username ได้เมื่อมียอด LIKE ครบ 100 LIKE ด้วยการเข้าไปที่ www.facebook.com/username


***สิ่งพึงกระทำ ห้ามละเลย

สิ่งที่สำคัญหลังจากการสร้าง Facebook page ก็คือ การโพสต์ข้อความ หรือการดูแลตอบคำถามต่างๆ ของผู้ติดตามข่าวสารบน Wall และข้อสำคัญขอให้ท่องจำกันไว้ให้แม่นว่า "Fanpage อย่าเป็นเว็บบอร์ด อย่าทำ Fanpage ให้เป็นกระดานข่าว อย่าให้เป็นการสื่อสารทางเดียว คือ มาแค่ประกาศข่าว จะต้องมีการสื่อสารโต้ตอบกับกลุ่มคน (2Ways communication)"

SME ต้องไม่ลุกล้ำไปยังพื้นที่ส่วนตัว Page ห้าม Tag ใดๆ ไปยังผู้ติดตาม Page เพราะจะเป็นการลุกล้ำพื้นที่ส่วนบุคคลของผู้ติดตามคนนั้นๆ เขาอาจจะไม่ต้องการรับทราบข่าวสารนั้นๆ ก็ได้ และเป็นการ Hard sale จนเกินไป

แง่ลบต้องไม่ลบ พื้นที่ใดที่เปิดให้ขีดเขียนที่นั่นย่อมต้องยอมรับ รับฟังทั้งด้านดีและด้านเสีย แม้ที่ Wall จะมีผู้คนแสดงความคิดเห็น ติ ต่อว่าในสินค้า บริการ Admin ต้องเร่งแก้ไขปัญหา ไม่ควรปล่อยให้นานเกิน 24 ชม. และห้ามลบ comment ดังกล่าว เพราะนั่นอาจจะทำให้เจ้าของ comment ไม่พอใจ หลังจากตอบคำถามไปแล้ว ค่อยย้าย comment นั้นไปที่ Discussion แทน

Facebook ขึ้นชื่อว่าเป็นสังคมออนไลน์ประเภทหนึ่งที่กำลังเป็นที่นิยมกันอย่างแพร่หลาย แน่นอนที่สุดว่าคนทำให้ Facebook ซึ่งเป็นเครือข่ายสังคมออนไลน์ขับเคลื่อน ดังนั้น การที่มียอด LIKE Page มากๆ จึงเป็นเรื่องสำคัญที่เจ้าของ Page ต้อง สร้างให้ Page มียอดคนกด LIKE พุ่งสูงอย่างรวดเร็ว ด้วยวิธีการโพสต์อย่างต่อเนื่อง การเลือกเนื้อหามาพูดคุยนั่นก็สำคัญ

และที่เจ้าของ Page ไม่ควรลืมเลยก็คือ Facebook Page เป็นเพียง “เครื่องมือเชียร์แขก” เท่านั้น เราสามารถใช้ประโยชน์จาก Facebook ด้วยการประชาสัมพันธ์สินค้าและบริการ ทำให้เราใกล้ชิดกับลูกค้าได้ง่ายยิ่งขึ้น อย่างไรก็ดี เว็บไซต์หลักก็เป็นร้านค้าออนไลน์ที่เจ้าของสินค้าและบริการจะสามารถโฆษณาประชาสัมพันธ์สินค้าและบริการของตนได้อย่างเต็มที่ และควรมีไว้รับ-ส่งเนื้อหาซึ่งกันและกัน ระหว่าง Facebook กับเว็บไซต์


ที่มา
http://www.manager.co.th/CBiZReview/ViewNews.aspx?NewsID=9540000120005

วันอาทิตย์ที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

หาเงินจากการถ่ายรูป

หาเงินจากการถ่ายรูป

โดย ขันติพล เกษมสันต์ ณ อยุธยา (Twitter: @kktp)

หลายคนมักชอบถ่ายรูปเล่นแล้วนำมาแชร์กันบน Facebook, Flickr, Multiply หรือบริการแบ่งปันภาพที่ฮิตกันอย่างมากบน iPhone นั่นคือ Instagram แต่เคยนึกหรือเปล่าครับว่ารูปพวกนั้นอาจจะทำเงินให้คุณก็ได้

การทำเงินจากรูปถ่ายมีอยู่หลายทาง ที่คุ้นเคยกันที่สุดก็คงเป็นช่างภาพตามงานอีเวนท์เช่นงานแต่งงาน งานปาร์ตี้ หรืองานเปิดตัวสินค้าต่างๆ รวมถึงช่างภาพหนังสือพิมพ์หรือนิตยสาร แต่เรื่องนั้นเก็บไว้ก่อน เพราะเว็บไซต์ก็เป็นอีกช่องทางทำเงินจากรูปของคุณได้ดีทีเดียว

การขายรูปบนเว็บไซต์มีอยู่หลายรูปแบบ เช่น อาจจะขายผ่านเว็บ Stock Photography หรือขายตรงด้วยตัวช่างภาพเอง ซึ่งมีข้อดีข้อเสียต่างกัน

ในส่วน Stock Photography หลายคนอาจคุ้นเคยกับ Getty Images (www.gettyimages.com) หรือ iStockphoto.com เว็บเหล่านี้หน้าที่หลักเหมือนเป็นหน้าร้านให้คนที่กำลังมองหารูปเข้ามาเลือกซื้อ ส่วนเราก็มีหน้าที่ส่งรูปเข้าไปเหมือนกับฝากขาย

คุณภาพของรูปที่ขายบน Stock Photography ส่วนใหญ่จะเป็นรูปคุณภาพสูง พร้อมที่จำให้ลูกค้านำไปใช้ในหลายรูปแบบไม่ว่าจะเป็นเว็บ, นิตยสาร, หรือแม้กระทั่งป้ายโฆษณาขนาดใหญ่

แน่นอนครับ ในเมื่อภาพที่ขายมีคุณภาพขนาดนั้น แหล่งฝากขายก็ต้องมีการคัดเลือกโดยทุกที่จะมี Editor เพื่อคัดเลือกรูปที่เราส่งเข้าไป เพื่อให้แน่ใจว่าคุณภาพผ่านมาตรฐาน และที่สำคัญเป็นรูปที่มีแนวโน้มขายได้

ตัวอย่างเช่น ถ้าแหล่งขายรูปออนไลน์นี้มีรูปอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิแบบเยี่ยมๆอยู่แล้วสักสิบรูป ถ้าเราส่งไปอีกถึงแม้ภาพเราคิดว่าดีแล้ว แต่มันไม่มีอะไรเด่นกว่ารูปที่มีขายอยู่ รูปของเราก็อาจไม่ผ่านการพิจารณาก็ได้ ดังนั้นถ้ามีโอกาสเราก็น่าจะลองเข้าไปดูรูปในเว็บไซต์เหล่านั้น พิจารณาทั้งคุณภาพ รูปแบบ ความหลากหลายที่มีอยู่ และนำมาคิดว่าเราจะนำเสนอผลงานของเรายังไงที่จะทำให้สะดุดตากรรมการ

การขายบนเว็บ Stock Photography นี่มีข้อดีคือลูกค้ารู้จักเว็บเหล่านี้อยู่แล้ว และส่วนใหญ่จะเป็นลูกค้าที่มีคุณภาพ ทำให้เราไม่ต้องโปรโมทตัวเราเองมากนัก แต่เน้นไปที่คุณภาพของรูปถ่ายเรามากกว่า

แน่นอนว่าคู่แข่งเราจะมีจำนวนมาก ทั้งก่อนที่รูปเราจะผ่านไปขาย หรือแม้กระทั่งตอนเข้าไปอยู่ในเว็บแล้ว แต่มันก็เป็นความท้าทายที่จะทำให้เราต้องคอยพัฒนาผลงานของเราอยู่ตลอดเวลา

การเริ่มต้นขายรูปภาพทาง Internet จะขอยกตัวอย่าง Getty Images (http://www.gettyimages.com) ซึ่งเราสามารถจะเสนอภาพเพื่อนำไปขายบนเว็บนี้ได้ทาง http://contributors.gettyimages.com โดยในขั้นแรกหลังจากทำการ register แล้ว ก็จะมี quiz สั้นๆเพื่อทดสอบดูว่าเราเข้าใจสิ่งที่ Getty ต้องการหรือเปล่า จากนั้นเราจะต้องส่งรูปให้ทาง Getty Images ดูอย่างน้อย 40 รูป เพื่อที่ทางทีมงานตรวจสอบดูว่าผลงานของเราเข้ามาตรฐานที่วางไว้หรือไม่ และเป็นรูปในแบบที่มีโอกาสสูงว่าสามารถขายได้

หลังจากผ่านด่านนั้นไปแล้ว รูปเราก็จะปรากฎในเว็บไซต์พร้อมที่จะให้ search และซื้อหาได้ดังรูปประกอบ ทางเราเองจะไม่ทราบว่ามีใครเข้ามาดูหรือซื้อรูปของเราจนกระทั่ง statement ของเดือนนั้นๆจะมาในช่วงกลางเดือนของเดือนถัดไป ซึ่งจะมีสรุปยอดให้เราทราบว่าขายได้เท่าไหร่ และจะแจ้งวันจ่ายเงินซึ่งทาง Getty จะจ่ายให้หลังจากนั้นประมาณ 2 เดือนถัดไป

อย่างเช่นในรูป statement ของเดือนตุลาคม 2010 ก็จะจ่ายเงินให้เราวันที่ 25 ธันวาคม 2010 ซึ่งอย่างของผมก็จะมีเงินเข้าบัญชี Paypal ตามวันที่แจ้งนั้นๆ

แต่ถ้าเราไม่ต้องการขายผ่านใคร เพื่อให้เราไม่ต้องไปเสียค่านายหน้าหรือค่าใช้จ่ายอื่นๆให้ใคร (เพราะการขายผ่าน Stock Photography จะถูกหักค่านายหน้า ค่าหัวคิวไปตามกฎเกณฑ์ของแต่ละที่ ราคาที่ลูกค้าซื้ออาจจะตกมาถึงมือเราแค่ 20% ก็ได้) ซึ่งถ้าเราขายเอง ราคาตกลงกับลูกค้าเท่าไหร่ เราก็จะรับเงินเต็มเม็ดเต็มหน่วย นอกจากนี้ ยังมีข้อดีอีกอย่างหนึ่งคือเพราะเราคุยกับลูกค้าเองทำให้เรามีโอกาสทำความรู้จักกับลูกค้าได้ดีขึ้น

อย่างบน Stock ลูกค้าอาจจะเห็นแค่ชื่อช่างภาพใน Credit รูป ขณะที่ช่าภาพเองก็ไม่รู้จักชื่อลูกค้าจนกระทั่งได้ Statement รายการที่ขายได้มาแล้ว แต่หากช่างภาพขายเอง ได้พูดได้คุยกับลูกค้าสนิทสนมขึ้น และถ้าลูกค้าถูกใจผลงาน ภายหลังก็ยังมีโอกาสขายงานให้ลูกค้าคนนี้อย่างต่อเนื่องก็ได้ เป็นโอกาสต่อยอดธุรกิจระยะยาวไปในตัว

แต่ปัญหาแรกของการขายรูปถ่ายตรงโดยไม่ผ่านใคร คือลูกค้าไม่รู้จักช่างภาพ ตรงนี้เราต้องหาทางโปรโมทตัวเราเองทางสื่อออนไลน์หลายๆทางเท่าที่ทำได้ เราอาจเริ่มด้วยการโพสต์รูปบนเว็บไซต์ แต่ก็คงต้องเลือกหน่อย อย่างโพสต์รูปลง Facebook อาจจะไม่ช่วยเรื่องโอกาสขายรูปเท่าไหร่ เพราะคนที่เข้าไปดูคงเน้นเข้าไปดูเล่นกันมากกว่า คงต้องมามองอย่าง Flickr (Flickr.com) ซึ่งค่อนข้างโดดเด่นทางด้านรูปถ่าย ทีนี้พอมีรูปบน Flickr แล้ว ก็ต้องหาทางทำให้มีคนมาเจอรูปเรา อย่างแรกเลยแน่นอน คุณภาพ! จากนั่นก็ต้องมีการใส่ keywords หรือที่บน Flickr เรียกว่า tag อย่างเหมาะสมเพื่อเพิ่มโอกาสในการค้นหาเจอรูปเรา

การใส่ Location ของรูปก็สำคัญ เพราะบางคนเวลาค้นหาอาจจะระบุสถานที่ว่าอยากได้รูปจากเมืองไทย จากเชียงใหม่ อะไรก็ว่าไป นอกจากนี้ทำตัวให้แอคทิฟก็ช่วยได้ การเข้าไปพูดคุยในกรุ๊ปต่างๆ หรือคอมเมนท์ในรูปของคนอื่นๆ เป็นวิธีการให้มีคนมารู้จักเรามากขึ้น และมีโอกาสที่จะมีการพูดถึงรูปของเราแบบปากต่อปาก ไปพูดถึงในบล็อคหรือเว็บไซต์อื่นๆอีกด้วย

รายละเอียดปลีกย่อยต่างๆเกี่ยวกับการขายรูปยังมีอีกมาก อย่างเช่นลิขสิทธิ์ของรูป การตั้งราคา การเลือกรูปที่จะนำมาขาย ถ้ามีโอกาสคงจะได้มาพูดคุยกันอีกครับ

ที่มา
ผู้จัดการออนไลน์

วันอาทิตย์ที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2554

10 เครื่องมือที่นักการตลาดออนไลน์ต้องมีในปี 2011

10 เครื่องมือที่นักการตลาดออนไลน์ต้องมีในปี 2011
โดย ณัฐพัชญ์ วงษ์เหรียญทอง @nuttaputch (www.mkttwit.com)

ปี 2010 นั้นมีเหตุการณ์และความเคลื่อนไหวหลายอย่างเกี่ยวกับโลกออนไลน์ เช่นการที่ Facebook มีผู้ใช้งานมากกว่า 590 ล้านคนทั่วโลก และเป็นเว็บไซต์ที่คนเข้าใช้บริการมากกว่า Google.com ไปแล้ว ตลอดไปจนถึงการเติบโตแบบก้าวกระโดดของตลาด Smartphone ไม่ว่าจะเป็นระบบปฏิบัติการ iOS หรือ Android

เหตุการณ์เหล่านี้ล้วนเป็นที่พูดถึงของนักวิเคราะห์ นักธุรกิจ จนไปถึงนักการตลาดที่ต้องหันมาให้ความสำคัญอย่างจริงจังกับโลกออนไลน์และ Digital Lifestyle ที่ผู้บริโภคจำนวนมากกำลังปรับพฤติกรรมเข้าหา

ประเทศไทยก็เป็นหนึ่งในประเทศที่มีความตื่นตัวตามกระแสโลกออนไลน์อยู่ไม่น้อย ตั้งแต่การมีผู้ใช้บริการ Facebook มากถึง 7 ล้านคน ตลอดจนความนิยมในการเป็นเจ้าของโทรศัพท์มือถือ Smartphone ต่างๆ ที่มากขึ้นอย่างต่อเนื่องตามจำนวนรุ่นที่มากขึ้นและราคาที่ไม่ได้สูงมาก ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นปัจจัยที่แสดงให้เห็นว่าผู้บริโภคชาวไทยจำนวนมากกำลังก้าวเข้าสู่ Digital Lifestyle โดยเริ่มมีโลกออนไลน์มาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตมากขึ้นเรื่อยๆ

แม้ว่าโลกออนไลน์อาจจะยังไม่ใช่ตลาดหลักในสายตาของนักธุรกิจ แต่ก็ไม่ใช่ตลาดที่สามารถมองข้ามได้อีกต่อไป

และเมื่อตลาดออนไลน์กลายเป็นตลาดที่นักการตลาดต้องหันมาสนใจอย่างจริงจังแล้ว สิ่งที่สำคัญคือการรู้จักเครื่องมือทางการตลาด (Marketing Tools) ในการเข้าถึงผู้บริโภคได้อย่างถูกวิธี ซึ่งเครื่องมือบนโลกออนไลน์นั้นมีมากมายและมีการปรับปรุงพัฒนาแทบจะตลอดเวลา หากนักการตลาดออนไลน์ตามไม่ทันแล้ว แทนที่การตลาดจะเป็นตัวนำเทรนด์ให้กับผู้บริโภค ก็อาจจะกลายเป็นตามหลังผู้บริโภคไปเสียเอง

ตลาดออนไลน์ในปี 2011 นี้อุดมไปด้วยเครื่องมือทางการตลาดหลายอย่างที่นักการตลาดออนไลน์ไม่ควรพลาดที่จะศึกษาและเลือกนำมาใช้อย่างถูกวิธีและถูกเวลา เพื่อที่จะสามารถทำการตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพและทำให้แบรนด์สินค้าสามารถช่วงชิงยึดพื้นที่ในโลกดิจิตอลนี้ไว้ได้

1. Facebook Page

ณ เวลานี้คงไม่มีใครกล้าปฏิเสธเว็บไซต์สังคมออนไลน์อย่าง Facebook.com ได้เพราะมันได้กลายเป็นหนึ่งในกิจกรรมหลักของชาวออนไลน์ในปัจจุบัน ผู้คนมากมายเข้าไปเชื่อมต่อแลกเปลี่ยนข้อมูลและข่าวสารต่างๆ ตั้งแต่ข้อความ รูปภาพ วีดีโอ เพื่อทำการอัพเดทเรื่องราวต่างๆ จากบุคคลในเครือข่ายเพื่อนของตน โดยนอกเหนือจากนั้นแล้ว Facebook ยังสามารถสร้างหน้าเพจ (Page) ให้กับบุคคล แบรนด์สินค้า ธุรกิจ ฯลฯ เพื่อให้ผู้ใช้ Facebook ได้เข้าไปทำการเชื่อมโยงตัวเองเข้ากับเพจดังกล่าว ซึ่งจะทำให้สามารถได้รับข่าวสารหรือร่วมกิจกรรมต่างๆ ที่เกิดขึ้นบนหน้าเพจนั้นๆ จนไม่แปลกที่ธุรกิจมากมายจึงสร้างหน้าเพจของตัวเองบน Facebook เพื่อเป็นช่องทางให้ผู้ใช้ Facebook ได้ทำการติดต่อและปฏิสัมพันธ์กับแบรนด์สินค้าตลอดไปจนถึงการประชาสัมพันธ์และสร้างโอกาสทำยอดขายได้จากกิจกรรมในเพจของตนได้อีกด้วย

นอกจากนี้แล้ว เจ้าของธุรกิจบางรายยังประยุกต์หน้า Page ตัวเองให้กลายเป็นเหมือนแคตตาล็อคสินค้าและผลิตภัณฑ์ต่างๆ ของตัวเอง ให้ลูกค้าเข้ามาเลือกชม สั่งจองและสั่งซื้อกันทางออนไลน์ได้ทันที เช่นธุรกิจขายเสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้าต่างๆ ฯลฯ

2. Facebook Application

นอกเหนือจากที่ Facebook จะสามารถสร้างหน้าเพจเพื่อเป็นช่องทางในการติดต่อสื่อสารกับผู้ใช้งานแล้วนั้น อีกหนึ่งกิจกรรมซึ่งเป็นที่นิยมของผู้ใช้งาน Facebook คือการใช้งาน Facebook Application ต่างๆ เช่นเกมอย่าง Farmville Mafia War ฯลฯ ซึ่งนี่ก็เป็นหนึ่งในโอกาสของบางธุรกิจที่คิดจะสร้างแบรนด์ของตัวเองผ่านทาง Application รูปแบบต่างๆ ดังตัวอย่างที่เห็นได้จาก K-SME Start-Up City ของ K-Bank ที่เอาบริการของตัวเองมาดัดแปลงให้กลายเป็นเกมส์ หรือกรณีของ dtac one D.I.Y. ที่สร้าง Application น่ารักๆ ในการสร้างรูป Avatar จนฮิตถล่มทลายมีผู้ใช้งานหลายแสนคนไปแล้ว

ตัวอย่างเหล่านี้ทำให้เห็นรูปแบบใหม่ๆ ในการสร้างแบรนด์บนเครือข่ายสังคมออนไลน์ที่หากทำได้ถูกใจผู้ใช้งานแล้วล่ะก็ จะเกิดการบอกต่อและแนะนำให้กับเพื่อนๆ อย่างรวดเร็วโดยพ่วงสารและ Brand Awareness ของสินค้าหรือบริการ ไปพร้อมๆ กัน

3. Twitter Account

Twitter กลายเป็นหนึ่งในเครือข่ายสังคมออนไลน์ที่โดดเด่นในช่วงปีที่ผ่านมาไม่แพ้ Facebook โดยแม้ว่าอาจจะไม่มีผู้ใช้งานที่มากเท่า หรือความสามารถต่างๆ จะค่อนข้างแตกต่างกัน แต่ด้วยความเรียบง่ายของข้อความเพียง 140 ตัวอักษร ทำให้ Twitter เป็นเครือข่ายที่เหมาะกับในการเผยแพร่และติดตามข่าวสารต่างๆ ที่โดดเด่นในเรื่องความ“สด” และ “ใหม่” ชนิดนาทีต่อนาทีและการบอกต่ออย่างรวดเร็ว กลายเป็นหนึ่งในแหล่งข่าวที่สื่อหลักอย่างโทรทัศน์และสิ่งพิมพ์นำไปอ้างอิงอยู่บ่อยครั้ง

ลักษณะที่โดดเด่นนี้ทำให้นักการตลาดจากแบรนด์ต่างๆ ไม่ควรพลาดที่จะเป็นส่วนหนึ่งของเครือข่ายนี้ เพื่อที่จะเป็นช่องทางในการเผยแพร่ข่าวสารให้กับเครือข่ายที่ติดตามแบรนด์หรือผลิตภัณฑ์ อีกทั้งยังเป็นช่องทางในการให้ผู้ใช้ Twitter ได้ติดต่อสอบถามหรือเสนอแนะทางออนไลน์ได้อีกด้วย

ที่ผ่านมา ธุรกิจมากมายประยุกต์ใช้ Twitter เป็นช่องทางในการประกาศการจำหน่ายสินค้าราคาพิเศษ การขายแบบจำกัดจำนวน การให้สิทธิพิเศษต่างๆ ฯลฯ ซึ่งทำให้กลุ่มคนออนไลน์เกิดการติดตามตัวสินค้าอย่างต่อเนื่อง จนกลายเป็นอีกหนึ่งในช่องทางในการพาผู้บริโภคไปทำการซื้อสินค้าออนไลน์ในที่สุด

4. Klout.com

ในขณะที่ Twitter กลายเป็นหนึ่งในเครือข่ายสังคมออนไลน์ที่ฮิต ผู้มีอิทธิพลออนไลน์ (Influencer) ก็เกิดขึ้นพร้อมกันไปด้วย ซึ่งผู้มีอิทธิพลเหล่านี้อาจจะไม่ใช่ดาราหรือคนดังแต่อย่างใด หากแต่เป็นคนที่มีผู้ติดตามและให้ความ “เชื่อถือ” ซึ่งนำไปการมีอิทธิพลในด้านความเชื่อ ความคิด และพฤติกรรมของคนในเครือข่ายของผู้มีอิทธิพลนั้นๆ

ในสมัยก่อนอาจจะมีพยายามวัดที่จำนวนของผู้ติดตาม (Follower) แต่ในระยะเวลาต่อมาก็ได้มีการเพิ่มแง่มุมว่าการมีอิทธิพลจริงๆ นั้นไม่ได้วัดแค่จำนวนผู้ติดตามเพียงอย่างเดียว หากแต่รวมถึงพฤติกรรมต่างๆ ของทั้งตัวผู้มีอิทธิพลเองและเครือข่ายที่ติดตาม ซึ่ง Klout.com นั้นเป็นหนึ่งในเว็บไซต์ที่ให้บริการตรวจสอบและประเมินผลของความ “มีอิทธิพลที่แท้จริง” ของแต่ละ Twitter Account

หากแบรนด์สินค้าใดเลือกที่จะทำการตลาดผ่านผู้มีอิทธิพลออนไลน์เหล่านี้แล้วล่ะก็ Klout.com ก็เป็นหนึ่งในเครื่องมือที่จะตรวจสอบเพื่อนำข้อมูลมาประกอบการเลือกผู้มีอิทธิพลเหล่านั้นเพื่อที่จะมาช่วยโปรโมตสินค้าต่างๆ ได้ถูกต้องและเหมาะสม

5. Viral Video

ข่าวสารในรูปแบบภาพเคลื่อนไหวหรือคลิปวีดีโอนั้นกลายเป็นสิ่งที่นิยมมากขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากโทรศัพท์รุ่นใหม่ สามารถเปิดดูและส่งต่อกันได้ง่ายมากขึ้นเช่นเดียวกับความเร็วของอินเตอร์เนตที่ทำให้การดาว์นโหลดไฟล์วีดีโอต่างๆ ทำได้เร็วกว่าสมัยก่อน

นั่นหมายความว่าความสามารถในการเข้าถึงข้อมูลที่เป็นวีดีโอของผู้บริโภคนั้นมากขึ้นเรื่อยๆ จึงไม่แปลกที่คลิปวีดีโอที่มีเนื้อหาน่าสนใจหรือโดนใจคนบางกลุ่มจะเกิดการส่งต่ออย่างรวดเร็วผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์ ถ้านักการตลาดสามารถสร้างคลิปโฆษณาดีๆ และน่าสนใจแล้วล่ะก็ คนบนโลกออนไลน์จำนวนมากก็พร้อมจะทำหน้าที่เป็นสื่อโปรโมตวีดีโอดังกล่าวได้ทันที

อย่างเช่นกรณีของ คลิป Disconnect to Connect ของ dtac หรือ คลิปครูปา BB ของ Burger King นั่นเอง ซึ่งทั้งสองกรณีนั้นมีการดูผ่านออนไลน์และส่งต่อจำนวนมหาศาลโดยแทบไม่ต้องใช้งบประมาณในการช่วยประชาสัมพันธ์เลย

6. Mobile Application

การเติบโตของ Smartphone และ Mobile Device อื่นๆ อย่าง Tablet เป็นที่จับตามองของนักธุรกิจทั่วโลก เพราะนั่นแสดงให้เห็นพฤติกรรมในการเข้าโลกออนไลน์ที่กำลังจะเปลี่ยนไปของผู้บริโภค นอกจากนี้ระบบปฏิบัติการของอุปกรณ์พกพาต่างๆ ไม่ได้แค่ให้ผู้ใช้เข้าโลกออนไลน์ผ่าน Web Browser ปกติเท่านั้น แต่ยังเปิดให้มีการสร้าง Application ต่างๆ เพื่อตอบโจทย์การใช้งานต่างๆ ในแทบจะทุกกิจกรรมของชีวิตเช่นการจดบันทึก อ่านข่าว เล่นเกมส์ ดูแผนที่ ฯลฯ

Mobile Application นี้เองที่หลายแบรนด์สินค้ากระโดดเข้ามาสร้าง Brand Application ของตัวเองเพื่อที่ผู้ใช้งานอุปกรณ์ต่างๆ สามารถเข้าถึงข้อมูลและบริการต่างๆ ของตัวเองด้วยประสบการณ์แบบใหม่ที่นอกเหนือไปจากการใช้ผ่านหน้าจอ Web Browser ทั่วๆ ไป เช่นการดูรอบหนังและทำการซื้อตั๋วได้ทันทีผ่าน App ของ SF Cinema จึงอาจจะบอกได้ว่า Mobile Application นี้จะเป็นหนึ่งในการสร้าง Brand Experience ตลอดไปจนการได้รับบริการรูปแบบใหม่ให้กับผู้บริโภคที่ไม่อาจมองข้ามได้นั่นเอง

7. Location Base Service

บริการเครือข่ายสังคมที่มีการใช้ข้อมูลของสถานที่และพิกัดบนแผนที่นั้นเป็นหนึ่งในบริการยอดนิยมของผู้ที่พก Smartphone เนื่องจากความสนุกในการได้บอกเล่าเรื่องราวของตัวเองให้กับเพื่อนในเครือข่ายของตนเกี่ยวกับกิจกรรมในแต่ละวันของตัวเองว่าไปสถานที่ใดมาบ้าง การ Check-in ผ่าน Foursquare หรือ Gowalla กลายเป็นเสมือนเกมสนุกบนโลกออนไลน์ แต่ในขณะเดียวกันมันคือการที่ผู้บริโภคโปรโมตสินค้า ร้านค้า และสถานที่ต่างๆ ให้กับธุรกิจไปพร้อมๆ กัน ซึ่งทำให้เกิดกิจกรรมที่นำบริการออนไลน์นี้มาต่อยอดเป็นกิจกรรมทางการตลาดเช่นการ Check-in ที่ร้านค้าเพื่อรับส่วนลดพิเศษ หรือรับสินค้าฟรี

อย่างกรณีของ #nokiadtac ที่เพิ่งผ่านไปไม่นาน นอกจากนี้แล้วการสร้างจุด Location ต่างๆ บนบริการ Location Base เหล่านี้ก็สามารถเป็นการสร้าง Awareness ในยามที่ผู้ใช้เปิดแผนที่เพื่อค้นหาสถานที่ต่างๆ ได้ด้วยเช่นกัน

8. QR Code

ภาพขนาดสี่เหลี่ยมที่ทำหน้าที่เสมือน Barcode นี้กำลังกลายเป็นที่นิยมมากขึ้นตามการเติบโตของ Smartphone ซึ่งเป็นเหมือนอุปกรณ์ในการแสกนและเข้าถึงข้อมูลบนโลกออนไลน์วิธีใหม่ เพราะนอกจากที่ QR Code จะพาผู้ใช้ไปสู่ URL ของเว็บไซต์ต่างๆ ได้หลังจากทำการ Scan ได้แล้วนั้น ยังสามารถประยุกต์ในการพาผู้ใช้เข้าถึงข้อมูลรูปแบบอื่นๆ เช่นไฟล์เสียง คลิปวีดีโอ หรือลิงค์ดาว์นโหลดต่างๆ ได้ ดังตัวอย่างที่มักเห็นในสื่อต่างประเทศ

แม้ในปัจจุบันเราจะเห็นการใช้ QR Code ส่วนใหญ่อยู่กับการให้ Information แต่ถ้ามีประยุกต์ใช้อย่างชาญฉลาดแล้วนั้น QR Code จะกลายเป็น Gimmick ที่น่าสนใจสำหรับคนออนไลน์ไม่น้อยทีเดียว

9. Dynamic Website

แม้ว่า Facebook หรือ Twitter จะเป็นที่นิยมมากเพียงใด แต่เว็บไซต์ซึ่งเป็นเหมือนออฟฟิศหลักของแบรนด์สินค้านั้นก็ยังคงมีความจำเป็นอยู่ เพราะพฤติกรรมผู้บริโภคส่วนใหญ่ก็ยังมีการค้นหาข้อมูลสินค้าและบริการต่างๆ ผ่านทาง Search Engine อย่าง Google รวมทั้งเว็บไซต์ที่ให้ข้อมูลต่างๆ นั้นจะกลายเป็นแหล่งข้อมูลที่ถูกนำไปบอกต่อทางเครือข่ายสังคมออนไลน์อีกด้วย

ฉะนั้นการสร้างเว็บไซต์ที่ทำให้ผู้ใช้งานออนไลน์สามารถเข้าถึงข้อมูลสินค้า บริการ ข่าวสารต่างๆ นั้นรวมทั้งการทำ Search Engine Optimization (SEO) ก็ยังมีความสำคัญมากอยู่ดี อีกทั้งรูปแบบของเว็บไซต์ในปัจจุบันไม่ควรจำกัดตัวเองอยู่ที่การเป็นเพียงการสื่อสารเพียงด้านเดียวกับผู้ที่เข้ามาเยี่ยมชม หากแต่ต้องมีความสามารถในการสร้างปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้ใช้งานกับตัวเว็บเอง ไม่ว่าจะเป็นการแสดงความเห็น โหวต ตลอดไปจนความสะดวกในการแบ่งปันเนื้อหาของเว็บเข้าสู่เครือข่ายสังคมอย่าง Facebook และ Twitter และการเปิดให้ผุ้ใช้งานสามารถเลือกรับข่าวสารของเว็บผ่าน RSS Feed ได้

ทั้งหมดนี้ควรเป็นสิ่งที่นักการตลาดออนไลน์ทำงานควบคู่กันไปกับการสร้างกระแสบนเครือข่ายสังคมออนไลน์

10. Email Subscription

การใช้งาน Email ยังคงเป็นหนึ่งในการรับข้อมูลและติดต่อสื่อสารบนโลกออนไลน์อยู่แม้จะมีการใช้เครือข่ายสังคมออนไลน์มากขึ้น แต่ถ้าหากพิจารณาแล้วทั้งสองช่องทางก็ยังมีความแตกต่างและจุดเด่นจุดด้อยที่ต่างกันออกไป โดย Email จะมีความได้เปรียบในเรื่องการส่งข้อมูลที่มีเนื้อหามากระดับหนึ่ง และเข้าถึงผู้ที่สนใจโดยตรงผ่านการ Subscription ดังที่มักเห็นเว็บไซต์ที่เป็นที่นิยมมักเปิดบริการรับข่าวสารหรือโปรโมชั่นพิเศษผ่านทาง Email เพื่อไม่ให้พลาดกิจกรรมพิเศษต่างๆ ในแต่ละวัน

ตัวอย่างเช่น ensogo.com ที่ส่งข้อเสนอโปรโมชันใหม่ให้กลุ่มคนที่ทำการ Subscription ผ่านทาง Email ทุกวัน คนกลุ่มนี้เป็นกลุ่มผู้บริโภคที่ให้ความสนใจกับข่าวสารขอบแบรนด์สินค้ามากเป็นพิเศษและมีโอกาสที่จะซื้อหรือใช้บริการมากเป็นพิเศษด้วย นักการตลาดออนไลน์จึงต้องไม่มองข้ามความเฉพาะพิเศษของกลุ่มนี้และใช้ข้อได้เปรียบนี้ให้เป็นประโยชน์

สำหรับเครื่องมือทางการตลาด 10 อย่างตามที่กล่าวมานั้นจะเห็นได้ว่าบางอย่างอาจจะไม่ใช่ของใหม่ที่เพิ่งมีการคิดค้นขึ้นแต่อย่างใด หากแต่พฤติกรรมของผู้บริโภคบนโลกออนไลน์กำลังมีการพัฒนาและปรับเปลี่ยนเรื่อยๆ จึงจำเป็นที่จะต้องทำเครื่องมือต่างๆ มาประยุกต์และปรับเปลี่ยนตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป

นอกจากนี้แล้วนักการตลาดจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องเข้าใจธรรมชาติและลักษณะของโลกออนไลน์ที่เปลี่ยนไปอยู่ตลอดเวลาโดยไม่ยึดติดแต่เพียงเครื่องมือของตัวเองเท่านั้น อีกทั้งการทำการตลาดที่ดีนอกจากจะมีเครื่องมือที่ดีแล้วยังต้องมีกลยุทธ์ที่ดีควบคู่ไปด้วย เพราะหากสำคัญเพียงแค่ว่ามีเครื่องมือแล้วนั้นก็ไม่สามารถรับประกันได้ว่าแผนการตลาดดังกล่าวจะประสบความสำเร็จและอาจจะนำไปสู่การใช้งบการตลาดไปอย่างสูญเปล่าได้

ที่มา
ผู้จัดการออนไลน์

วันอังคารที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2554

10 แอปพลิเคชันเด่นโดนใจช่วงปีใหม่

กูรูไอทีฟันธงมานักต่อนักว่าปีหน้าจะเป็นปีทองของโลกแอปพลิเคชัน ทำเงินบนโลกไอทีสัปดาห์นี้ขอนำทุกคนไปพบกับแอปพลิเคชันไอโฟนและไอแพดที่ลดราคาในช่วงนี้ รวมถึงแอปพลิเคชันฟรีและดีซึ่งอาจทำให้คุณปิ๊งไอเดียหารายได้บนโลกไอทีในอนาคตก็ได้

ช่วงเทศกาลแห่งความสุขปีนี้ ขอเอาใจผู้ใช้ iPhone และ iPad กับการรวบรวมแนะนำ 10 แอปพลิเคชันเด่น ไม่ว่าจะเป็นแอปฯโดนใจที่ต้องมีไว้ติดเครื่อง, แอปฯลดราคา, แอปฯฟรีที่ไม่ควรพลาด มาให้เพื่อนๆได้ลองหาดาวน์โหลดกัน

Instagram
ราคา : iPhone (ฟรี)

หลายคนอาจคุ้นเคยกับการแบ่งปันข้อมูลผ่านทางเครือข่ายอย่าง Facebook หรือ Twitter แต่สำหรับ Instagram เป็นแอปฯไอเดียเก๋ๆที่จะนำรูปที่เราถ่ายมา Feed และแบ่งปันให้เพื่อนที่ Follow เราได้เห็น สามารถตกแต่งภาพโดยการใส่ฟิลเตอร์และเอฟเฟกต์อย่างเช่น ภาพสไตล์ Lomo , ภาพขาวดำ ฯลฯ โดยไม่ต้องพึ่งแอปฯอื่นในการตกแต่งภาพอีกให้เสียเวลา นอกจากนี้ยังสามารถที่จะแบ่งปันไปยังเครือข่ายอื่นๆได้อีกทั้ง Twitter, Facebook, Flickr หรือจะ Checkin ใน Foursquare เมื่อทำการโพสรูปพร้อมสถานที่ก็ยังได้ ล่าสุดผู้พัฒนาพึ่งออกมาประกาศว่าขณะนี้มีผู้ใช้มากกว่า 1 ล้านคนทั่วโลกแล้ว ถือเป็นแอปฯฟรีที่น่าหามาลงยังเครื่องเพราะรองรับ iPhone ทุกรุ่นเลย แล้วอย่าลืมถ่ายรูปที่ไปเที่ยวกันเยอะๆแชร์ให้เพื่อนดูช่วงเทศกาลปีใหม่นี้

PocketMoney
ราคา : iPhone และ iPad (ลดราคาจาก $4.99 เหลือ $1.99)

ช่วงปีใหม่เป็นช่วงที่ต้องมีการจับจ่ายใช้สอยกันพอสมควรทั้งซื้อของขวัญและค่าเดินทางไปเที่ยวในช่วงวันหยุดยาว ดังนั้นจึงขอแนะนำแอปฯที่จะมาช่วยการจัดการเรื่องเงินโดยเฉพาะอย่าง PocketMoney ทั้งกระแสเงินสด บัตรเครดิต มีรายงานผลออกมาในรูปแบบของกราฟให้ดูเข้าใจง่าย อีกทั้งยังสามารถเชื่อมต่อข้อมูลกับ PocketMoney desktop ได้อีกด้วย

Tap Tap Revenge 4
ราคา : iPhone (Free)

เอาใจคนรักเสียงเพลง กับการกลับมาอย่างยิ่งใหญ่อีกครั้งของเกมแนวดนตรีที่ประสบความสำเร็จมากเกมหนึ่ง เพราะติดอันดับ 1 ใน Appstore แทบทุกเวอร์ชันและสำหรับเวอร์ชันนี้จะเน้นฟีเจอร์ด้าน Social Network มากยิ่งขึ้น อาทิเช่น การเล่นเกมออนไลน์ , แชตสนทนาคุยกันในเกม, ตกแต่ง avatar ตามใจชอบ และถ้ายิ่งเล่นบนเครื่อง iPhone4 ภาพจะยิ่งคมชัดสวยงาม ในเกมมีเพลงจากนักร้องชื่อดังต่างๆมากมาย อาทิเช่น Linkin Park, Cold Play, Lady Gaga หรือถ้าใครไม่อยากเสียเงินก็มีเพลงฟรีมาให้เลือกดาวน์โหลดเล่นเช่นกัน

Angry birds Seasons
ราคา : iPhone ($0.99) , iPad ($1.99)

ถ้าถามว่าเกมไหนที่สามารถสร้างกระแสและดังสุดในรอบปีนี้คงจะหนีไม่พ้นเกม Angry Birds นกยั๊วะ ที่สร้างปรากฏการณ์ยอดดาวน์โหลดจากทุกๆแพลตฟอร์มสูงกว่า 50 ล้านครั้ง ดังขนาดมีการผลิตตุ๊กตาและเคส iPhone ออกมาให้นักสะสมเก็บไว้เป็นที่ระลึกกันแล้ว และเพื่อต้อนรับช่วงเทศกาลก็มีภาคพิเศษออกมาให้ดาวน์โหลดเพิ่มในตอนที่ชื่อว่า Angry Birds Seasons ที่จะมีด่านสวยๆท่ามกลางหิมะมาให้เล่นด้วยกัน 25 ด่านด้วยเรื่องราวของหมูจอมกวนไปขโมยไข่ของนกน้อยเพื่อจะนำมาทำเป็นอาหาร เหล่าบรรดานกทั้งหลายจึงรวมพลกันไปพังทลายที่หลบซ่อนของหมูจอมกวน หน้าที่ของเราก็คือนำเจ้านกที่ยอมสละตัวเองเป็นกระสุนบนหนังสติ๊กใช้นิ้วลากและยิงในแบบวิถีโค้ง (โปรเจกต์ไทน์) เพื่อระเบิดหมูให้หมด โดยที่กำบังในแต่ละด่านก็จะแตกต่างกัน ด้วยภาพกราฟิกที่น่ารัก ความสนุกสนานที่สามารถกลับมาเล่นเมื่อไหร่ก็ได้โดยไม่มีเบื่อ จึงไม่น่าแปลกใจที่จะติดกันงอมแงมทั่วโลก

Cuttherope: Holiday Gift
ราคา : iPhone (Free), iPad (Free)

สำหรับใครที่ชอบเกมแนว Puzzle ลับคมสมองไม่ควรพลาดเกมนี้ Cut the Rope กล่องเกมปริศนาที่ส่งตรงมาถึงหน้าบ้าน มาท้าประลองฝึกสมองในการตัดเส้นเชือกเพื่อป้อนลูกกวาดให้กับเจ้าสัตว์น้อย Om Nom ตัวเกมจัดว่ามีความสนุกมาก สามารถเล่นแต่ละด่านไปได้เรื่อยๆโดยไม่มีเบื่อ และความท้าทายสำคัญคือการเก็บดาวทั้ง 3 ดาวให้ครบ ซึ่งล่าสุดผู้พัฒนาก็ออก Holiday Gift เวอร์ชัน เป็นของขวัญแจกฟรีในช่วงเทศกาลแห่งความสุขนี้

Pocket Informant
ราคา : iPhone (ลดราคาจาก $12.99 เหลือ $4.99) , iPad (ลดราคาจาก $14.99 เหลือ $.6.99)

Organizer ชั้นเยี่ยมช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน แถมกำลังอยู่ช่วงลดราคาต้อนรับช่วงเทศกาล แอปฯนี้จริงๆแล้วดังมาจากระบบปฏิบัติการณ์ Windows Mobile มาก่อน ขายดิบขายดีและขยายมายังแพลตฟอร์ม iOS ตัวแอปฯประกอบไปด้วยฟีเจอร์หลักๆที่ช่วยส่งเสริมในการทำงานอาทิเช่น ระบบปฏิทิน (Calendar) ที่สามารถเชื่อมต่อกับ Google Calendar ได้ ตั้งเวลาการแจ้งเตือนได้ , มีการบริหารการจัดการงานต่างๆในสไตร์ของ To-do และเชื่อมต่อข้อมูลกับบริการออนไลน์อย่าง “Toodledo.com” ได้ โดยภาพรวมมีอินเตอร์เฟสที่ใช้งานง่ายและยิ่งถ้าใครใช้ iPad เวอร์ชันแล้วหล่ะก็จะถูกใจกับอินเตอร์เฟสที่สวยงามเลยทีเดียว

NoteShelf
ราคา : iPad (ลดราคาจาก $4.99 เหลือ $0.99)

ด้วยหน้าจอที่ใหญ่ของเครื่อง iPad หลายคนคงอยากหาแอปฯดีๆเพื่อมาเปลี่ยน iPad เป็นสมุดโน้ต ซึ่ง NoteShelf สามารถทำหน้าที่นี้ได้อย่างยอดเยี่ยม ภายในแอปฯจะมีให้เลือกรูปแบบกระดาษเพื่อรองรับวัตถุประสงค์งานที่แตกต่างกัน อาทิเช่น จดโน้ตทั่วไป,จดบันทึกการประชุม, จดบันทึกประจำวัน , รายการซื้อของ, บันทึกการเดินทาง, สมุดโน้ตเพลง เป็นต้น สามารถซูมเพื่อขยายหน้าจอทำให้จดงานได้สะดวกสบาย คราวนี้ก็ไม่ต้องคอยพกสมุดหลายเล่มกันแล้ว

Flipboard
ราคา : iPad (Free)

เมื่อพูดถึงแอปฯยอดเยี่ยมประจำปี 2010 บน iPad ต้องขอยกให้กับ Flipboard ที่เปลี่ยนประสบการณ์การอ่านข่าว เล่น Facebook Twitter ฉีกกรอบการอ่านข้อมูลแบบเดิมๆเพราะจะถูกนำมาถ่ายทอดออกมาในรูปแบบของแมกกาซีนเก๋ไก๋พร้อมอินเตอร์เฟสที่สวยงาม สามารถเพิ่มข่าวจากแหล่งต่างๆ หรือดึงข้อมูลพิเศษ เช่น Pages บน Facebook หรือ List บน Twitter มาดูโดยเฉพาะได้ เป็นต้น ที่สำคัญแอปฯนี้ฟรีไม่เสียเงินแต่อย่างใด!

Friendly Plus for facebook
ราคา : iPad ($0.99)

ในยุคที่ facebook ครองโลก แอปฯต่างๆก็ทยอยออกมาเพื่อให้เชื่อมต่อกับ facebook ได้ ในขณะเดียวกัน facebook ก็ยังไม่มี official แอปฯบน iPad ออกมา พวกเราจึงต้องหวังพึ่งแอปฯอื่นในการเล่น facebook บน iPad แทน และหนี่งในนั้นคือ Friendly Plus ที่ออกแบบมาให้เล่นฟีเจอร์ต่างๆบน facebook กันได้อย่างเต็มที่ พร้อมอินเตอร์เฟสการใช้งานที่ง่ายและสวยงาม และแน่นอนว่าหลายๆคนคงจะใช้ facebook ในการอวยพรปีใหม่ให้กับเพื่อนๆแน่ๆ ยิ่งทำให้แอปฯนี้ไม่ควรพลาดเข้าไปใหญ่

Appstream
ราคา : iPad (Free)

สำหรับใครที่เบื่อกับการค้นหาแอปฯด้วยวิธีเดิมๆ Appstream คือลูกเล่นใหม่ที่ไม่ซ้ำใคร มีการจัดเรียงการนำเสนอแอปฯต่างๆเป็นแบบภาพกราฟิกเคลื่อนไหว เมื่อชอบไอคอนแอปฯไหนก็กดเข้าไปดูรายละเอียดพร้อมภาพตัวอย่าง และถ้าต้องการซื้อแอปฯไหนก็สามารถเชื่อมต่อไปยัง Appstore ให้ด้วย

ที่มา
http://www.manager.co.th/Cyberbiz/ViewNews.aspx?NewsID=9530000181778

กระตุ้นโปรโมชันและดีลใหม่ๆ ผ่าน Groupon

หาแรงดลใจจาก Groupon




"Groupon" คือบริการออนไลน์ที่เป็นที่รู้จักในฐานะผู้ที่ปฏิเสธเงินถึง 6 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นข้อเสนอที่แพงที่สุดในบรรดาบริษัทที่ยักษ์ใหญ่อย่าง Google เสนอขอซื้อ บทความต่อไปนี้จะเสนอแง่มุมที่คุณอาจสามารถนำไปประยุกต์ใช้กับธุรกิจของตัวเองได้ไม่รู้จบ

และหากคุณคิดจะประยุกต์ใช้กลยุทธ์จาก Groupon จริง ก็อย่าได้แคร์ข้อครหาว่าลอกเลียนแบบ แต่ขอให้คิดว่านี่คือแรงดลใจส่วนหนึ่งที่จะช่วยให้คุณไปถึงฝันในโลกธุรกิจได้


“ซื้อเหมาโหลถูกกว่า” ใครบ้างที่ไม่ชอบประโยคนี้

เพราะสินค้าและบริการมากมายที่กระจายอยู่บนอินเทอร์เน็ตนั้นมีเป็นล้านชิ้น ไม่ว่าสินค้าดังกล่าวจะถูกหรือแพง ไม่ว่าบริการนั้นจะตอบโจทย์ความต้องการได้แค่ไหน แรงจูงใจที่จะให้ชาวเน็ตตัดสินใจซื้อสินค้าและบริการนั้นได้ในแต่ละครั้งคือ มาตรฐานของ “ราคา” และความ “คุ้มค่า”

หากได้ตัวเลือกหรือปัจจัยในการพิจารณาแล้ว ต่อมาก็จะเป็นเรื่องของเงื่อนไขในการเลือกซื้อ ที่จะเป็นสิ่งที่กำหนดให้ราคา ถูกลง กว่าเดิม ซึ่งผู้จำหน่ายสินค้า หรือเจ้าของกิจการ จะเป็นผู้กำหนดเงื่อนไข เพื่อให้เกิดความน่าสนใจ แก่ผู้บริโภค

นี่ทำให้เกิดเงื่อนไขโปรโมชันมากมาย แต่ละบริการล้วนมีลูกเล่นพัฒนาให้ดูแปลกใหม่ เพื่อสร้างความสนใจแก่ผู้บริโภค

"ระบบคูปองออนไลน์" สำหรับสิทธิในการรับส่วนลด ถือเป็นหนึ่งในลูกเล่นใหม่ที่ถูกนำมาสร้างให้เกิดจุดเด่น โดยภายหลัง โมเดลธุรกิจคูปองออนไลน์มีการตอบโจทย์ประโยคข้างต้นที่ว่า “ซื้อเหมาโหลถูกกว่า” ได้ชัดเจนขึ้นผ่านบริการหนึ่งที่เรียกว่า Group on

Groupon เป็นโมเดลธุรกิจรูปแบบหนึ่งที่ใช้เครือข่ายสังคมออนไลน์หรือ Social Network อย่าง facebook เข้ามาช่วย เพื่อให้เกิดการรวมตัวกันของผู้ที่สนใจในสินค้าและบริการ ลักษณะเดียวกัน เมื่อกลุ่มคนจำนวนมากเกิดความสนใจในตัวสินค้าบริการเดียวกัน จะทำให้ผู้ที่สนใจในเงื่อนไขและ บริการกลุ่มนี้ลดค่าใช้จ่ายในการซื้อสินค้าได้

นี่คือโครงสร้างที่ต่อยอดแนวคิดของ Social Commerce ซึ่งเป็นรูปแบบการซื้อขายสินค้าผ่านอินเทอร์เน็ต หรือ E-Commerce รูปแบบเดิม แต่ใช้ช่องทางการกระจาย รายละเอียดของ สินค้า และ บริการ ผ่าน Social Network

รูปแบบโมเดลทางธุรกิจ ของ Group on ได้รับความนิยมอย่างล้นหลามในต่างประเทศ หากผู้อ่านสนใจ และอยากจะลองเข้าไปใช้บริการด้วยตัวเอง สามารถเข้าไปทดลองได้ที่เว็บไซต์ http://www.groupon.co.uk

หากมองดูให้ดีแล้ว จะเห็นว่า ระบบของเว็บไซต์ Groupon นั้นก็เปรียบเสมือนเว็บไซต์หน้าตาธรรมดา แทบจะไม่มีฟังก์ชั่นเชิงเทคนิคที่ลงลึกในตัวระบบแต่อย่างใด จะปรากฏก็เพียงฟังก์ชั่นที่สนับสนุนด้านธุรกิจ

Groupon จะนำสินค้าหรือบริการจากธุรกิจขนาดย่อย Small Business (SMEs) ขนาดกลาง ไปจนถึงการสร้างดีลของ ธุรกิจภายในท้องถิ่น เช่น ธุรกิจท่องเที่ยว โรงแรม และ รีสอร์ท 3-5 ดาวในพื้นที่ต่างๆ ร้านอาหารขึ้นชื่อในย่านธุรกิจ ซึ่งทางผู้ใช้บริการและกลุ่มผู้สนใจในบริการเหล่านี้จะรวมตัวผ่าน Social Network ชักชวนเข้ามาซื้อดีล เพื่อลุ้นรับโปรโมชั่นส่วนลด ที่ทางผู้ให้บริการ ร่วมกิจกรรมกับทางเว็บไซต์ Groupon

ในตอนนี้ ผู้ประกอบการที่เป็นเจ้าของสินค้าและบริการ หลายรายได้ใช้โมเดลธุรกิจของ Groupon มาเสริมลูกเล่น ในการสร้างข้อเสนอและเงื่อนไข ขึ้นมาให้ผู้ใช้บริโภค โดยการนำช่วงระยะเวลาในการจัดโปรโมชั่น เป็นข้อกำหนด และ ทำการประชาสัมพันธ์ ให้แก่กลุ่มคนที่มีความต้องการในตัว สินค้าและ บริการ ได้รับทราบ เงื่อนไข และ ข้อเสนอ ผ่าน Social Network และ อีเมลการตลาด

โดยส่วนมาก Groupon มักจะมีข้อกำหนดมาตรฐาน นั่นคือ หากมีจำนวนผู้ตอบรับ และ สนใจ ในสินค้าและบริการที่ทางผู้ให้บริการได้ตั้งเงื่อนไขไว้ ดีล หรือ ข้อเสนอในการซื้อสินค้า ในราคาที่ถูกลง หรือ โปรโมชั่น สิทธิพิเศษ ที่ทางผู้ให้บริการนำเสนอลงไปในรายละเอียดขั้นต้นนั้นจะเกิดขึ้นทันที

และถ้าหากผู้ใช้บริการ หรือ กลุ่มผู้ที่สนใจ ไม่สามารถทำตามข้อเสนอ หรือ จำนวนการชักชวนเพื่อน ไม่ถึงเงื่อนไขที่กำหนด ผู้ให้บริการ สามารถจะยกเลิกข้อตกลงได้ โดยสินค้าหรือบริการนั้นจะถูกขายในราคาปรกติดังเดิม

ยกตัวอย่างเช่น ร้านอาหารแห่งหนึ่ง สร้างดีลผ่าน Groupon โดยระบุเงื่อนไข ให้กับลูกค้าที่จะมารับประทานอาหารที่ร้าน เฉพาะคืนวันศุกร์ ตั้งแต่ 18:00 น.-23:00 น. โดยจะต้องมีจำนวนคน 30 คน ซึ่งถ้ามีจำนวนคน 30 คนตามเงื่อนไขกำหนด จะได้รับส่วนลด 30% จากราคาเต็มของชุดอาหารที่สั่ง ต่อหัว คนที่มารับประทานอาหาร

หากว่าคนที่สนใจในเงื่อนไข และ อยู่ในเขตของร้านอาหารนี้ ก็จะทำการ ชักชวนเพื่อน จาก เครือข่าย Facebook มาทำการลงชื่อ ซื้อดีล ดังกล่าวภายในวันเวลาแคมเปญ ของดีล หรือ โปรโมชั่น ตัวนี้ยังคงอยู่ ซึ่งการ ชักชวนเพื่อนฝูง หรือ คนอื่นจากเครือข่ายสังคมออนไลน์ นั้นอาจจะเป็นใครก็ได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นเพื่อนของเรา อาจจะเป็นคนแปลกหน้าที่สนใจ โปรโมชั่นของร้านอาหารแห่งนี้เช่นเดียวกันคุณก็พอ ถ้าการชักชวน เพื่อน ในเครือข่ายสังคมออนไลน์ ได้ครบ 30 คนตาม เงื่อนไข และ ระยะเวลาที่กำหนด ก็จะถือว่า ข้อตกลงสำเร็จ Groupon ก็จะออกข้อมูลแจ้งไปยังร้านค้าที่ ร่วมดีลกับทาง Groupon โดยเงื่อนไข การชำระเงิน จะเป็นการชำระเงินผ่านช่องทาง อินเทอร์เน็ต หรือ วิธีอื่น ก่อน แล้วค่อยไปรับสิทธิส่วนลดที่ร้านที่ร่วมรายการ กับทาง Groupon ในวันที่ไปรับประทานอาหาร อีกที

โมเดลธุรกิจ Groupon เป็นประโยชน์สำหรับร้านค้า และ ผู้ประกอบการ ซึ่งจะเป็นข้อดีตรงที่ ร้านแต่ละร้านสามารถทราบว่าลูกค้า ที่สนใจโปรโมชั่นดังกล่าวจะมาเมื่อ มีโปรโมชั่นประเภทไหน และ จะมารับที่ร้านในวันที่เท่าไรทำให้คาดการณ์สินค้าภายในร้านได้สะดวก ไม่มีคำว่าสินค้าหมด หรือ สั่งสินค้ามามากเกินไปจนทำให้ค้าง สต๊อก อีกทั้งยังเลือกกำหนดสิทธิการลดราคาให้เป็นไปอย่างเป็นขั้นตอน ล่าสุดจากการรายงานบนเว็บไซต์ Mashable บริการของ Groupon ได้ขยายตลาดออกไป ซึ่งจากเดิมที่ตัวบริการของ Groupon นั้นมักจะนำเสนอโปรโมชั่นในเขตพื้นที่ตามเมืองต่างๆใน สหรัฐอเมริกา

ในวันนี้ Groupon ได้ขยายการทำโปรโมชั่นระดับประเทศ ด้วยความที่ว่าโมเดล รูปแบบใหม่ที่ง่ายในการ พัฒนา และ นำไปใช้ ได้รับความนิยมอย่างสูงเป็นเหตุให้ทาง Google ไม่ลังเลที่ยื่นข้อเสนอ ขอซื้อ Groupon เป็นจำนวนเงินถึง 6 พันล้านเหรียญ แต่สุดท้าย แหล่งข่าวหลายแห่งต่างก็พากันมายทนยันถึงความล้มเหลวในการยื่นข้อเสนอครั้งนี้ของ Google

Andrew Mason ซีอีโอของ Groupon ให้สัมภาษณ์ถึงเหตุผลจูงใจที่ Groupon ปฏิเสธข้อเสนอดังกล่าวว่า เขาจะเดินตามรอยของ Mark Zuckerberg ที่ไม่ยอมขาย Facebook ให้ Microsoft ซึ่งขณะนั้น Microsoft ยื่นข้อเสนอซื้อเฟซบุ๊กถึง 3 พันล้านดอลลาร์ โดย Mason คิดว่ามูลค่าของ Groupon จะทะยานไปถึงหลักหมื่นล้านดอลลาร์ได้ด้วยตัวเอง

แม้ Groupon จะมีโปรโมชั่นมากมาย ทั่วประเทศ ทั้งแบรนด์สินค้าที่ได้รับความนิยมสูง หรือ แบรนด์สินค้าบริการระดับรอง ก็ตาม แต่ธุรกิจที่ Groupon ขึ้นชื่อที่สุดคือ ร้านค้า ศูนย์บริการ รีสอร์ท และ โรงแรม ระดับท้องถิ่นตามเขต แยกย่อยมากกว่า เพราะนอกจากจะง่ายต่อการติดต่อ และ ตกลงสร้าง กำหนด ดีล และ เงื่อนไข ได้ไม่ยากแล้ว ยังอำนวยความสะดวกแก่ผู้บริโภค ตามเขตต่างๆได้ ทราบความเคลื่อนไหว โปรโมชั่นใหม่ๆ ในพื้นที่ ที่ผู้บริโภคอยู่อาศัย ซึ่งทำให้ง่ายต่อการเชิญชวนให้ซื้อดีล และ หาเพื่อนบนเครือข่าย บริเวณ ดังกล่าวมาร่วมซื้อดีล และ เล่น Groupon ตามเงื่อนไข ร่วมกัน ผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์ อย่าง Facebook

และในบางครั้ง Groupon จะใช้บริการ แทรกไปตามข้อความที่ปรากฏบน Twitter อย่างเข้าใจง่าย ให้ผู้ที่ติดตามได้ทราบอย่าง ทันทีทันใด

ดังที่กล่าวมาแล้วเว็บไซต์ของ Groupon นั้นจะมี สิ่งที่ยากเพียงสิ่งเดียวคือ การที่เจ้าหน้าที่การตลาด ต้องไป ชวนร้านค้า และ บริการ ต่างๆมาร่วมสร้างดีล ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นโจทย์ที่ต้องตอบรับความต้องการของผู้บริโภค และ ร้านค้าต้องไม่เกิดข้อเสียเปรียบ ในดีล ที่ได้ทำไว้กับ Groupon และ ถ้ามองในเรื่องต้นทุนในการ เปิดธุรกิจ ประเภทนี้ ในเชิงเทคนิคนั้น แทบจะไม่ต้องลงทุนอะไรเลย นอกจากหน้าเว็บไซต์พื้นฐาน โปรแกรมมิ่งเล็กน้อย

ดังนั้นไม่แปลกใจเลยที่จะพบเว็บไซต์ที่มีรูปแบบเหมือน Groupon ปรากฏอยู่มากมายหลายเว็บไซต์ บางเว็บไซต์ก็ได้รับความนิยม ซึ่ง สิ่งสำคัญที่เว็บไซต์ที่มีโมเดลธุรกิจเหมือน Groupon จะเป็นที่หน้าจดจำได้ ล้วนต้องขึ้นอยู่กับ สถานที่ และ ดีล ที่นำเสนอว่าน่าสนใจเพียงใดมากน้อย ตอบโจทย์ หรือ โดนใจผู้บริโภคหรือไม่? เท่านั้นเอง

มาดูกันว่าเว็บไซต์ Groupon และ เว็บไซต์ที่ ใช้ โมเดลของ Groupon ที่ได้รับความนิยมมีเว็บอะไรกันบ้าง

**Groupon
http://www.groupon.co.uk

เป็นเว็บไซต์หลักของ Groupon เอง ผู้สนใจ สินค้า และ บริการที่ร่วมดีล ต้องทำการสมัครสมาชิกเข้าไปเลือกซื้อคูปองออนไลน์ อีกทั้งสามารถแนะนำ ดีล ที่เราสนใจ ให้แก่เพื่อน ที่สนใจดีลดังกล่าวเช่นเดียวกับเราผ่าน เครือข่ายสังคมออนไลน์ หรือ Social Network เช่น Facebook เพื่อรวมตัวกันเข้ามาซื้อ สินค้าหรือบริการให้ได้ในราคาที่ถูกที่สุด

**Keynoir
http://www.keynoir.com

โมเดล ธุรกิจ Groupon ที่ถูกมานำเสนอ เน้นที่เมือง ลอนดอน เพียงแค่มีบัญชี Facebook ก็สามารถเข้าไปร่วมซื้อคูปองได้แล้ว จุดเด่นจะปรากฏที่ร้านอาหาร ต่างๆ ในเมือง ลอนดอน

**Ubuy iBuy
http://www.ubuyibuy.com

บริการ Groupon ในฮ่องกง ที่มีผู้ใช้ ผ่าน เครือข่ายสังคมออนไลน์ รองรับ จำนวนมาก เพียงแค่การแสดงผลของภาษาจะไม่ใช่ภาษาอังกฤษ ก่อนหน้านี้ เป็นเว็บไซต์ที่มีรูปแบบของ Groupon ปัจจุบัน ได้ร่วมกับ Groupon เป็นที่เรียบร้อยแล้ว คิดว่าคงเป็นอีกกลยุทธ์ของ Groupon ที่จะลองเชิงตลาดเอเชีย โดยส่วนมากจะมีจุดเด่นที่ราคาแพ็คเกจโรงแรม ที่ถูกและได้คุณภาพ สำหรับ นักท่องเที่ยว

**Ensogo
http://www.ensogo.com/thailand/

ธุรกิจที่ใช้โมเดล Groupon เป็นเว็บไซต์สัญชาติไทย และ กำลังได้รับความนิยมอยู่ในขณะนี้ จุดเด่นคือดีล และ โปรโมชั่น พิเศษที่ดีที่สุด และ มีเสนอให้แก่ผู้บริโภคตลอด ปัจจุบันมีร้านค้าในเมืองไทย และ รีสอร์ท โรงแรม ที่พัก มากมาย ได้ตกลงและ นำเสนอดีลพิเศษ และ พร้อมโปรโมชั่นมากมาย และ สามารถแนะนำเพื่อนเพื่อรับเงิน 100 บาทได้อีกด้วย

จากตัวอย่างที่ นำเสนอมาจะพบว่ามีเว็บไซต์ที่นำโมเดล Groupon มาเป็นเครื่องมือในการขับเคลื่อน มากขึ้น แม้กระทั่งในประเทศไทย ในอนาคต จะมีเว็บไซต์ ที่มีลักษณะเหมือน Ensogo มากขึ้นอีกมากมาย ซึ่งจะชี้ให้เห็นแนวโน้มการเติบโตของระบบ E-Commerce สำหรับธุรกิจขนาดย่อม โรงแรม ร้านค้า อีกมากมายของประเทศไทยในอนาคต ที่ขึ้นตรงโดยผู้บริโภคเป็นหลัก ผ่านการติดต่อสื่อสารกันบน Social Network อย่าง Facebook ที่นับวันจะเติบโต ขึ้นเรื่อยๆ

พยายามมองหาเพื่อนใหม่ รสนิยมเดียวกันผ่าน Facebook เยอะๆเข้าไว้ ใครจะรู้ว่าวันหนึ่ง ดีล น่าสนใจจาก Groupon บางตัวที่คุณสนใจนั้น อาจจะต้องใช้เพื่อนๆ เหล่านี้ช่วยเหลือคุณ เพื่อให้ซื้อสินค้า และ บริการให้ถูกลง

มีเพื่อนบน Social Network ให้เยอะเท่าไร คนก็รู้จักเราเยอะขึ้น มีเพื่อนสำหรับ Social Commerce ให้เยอะแค่ไหน คุณก็จะซื้อของได้ถูกขึ้นเท่านั้น

จำไว้เลยนะจ๊ะ

ที่มา
http://www.manager.co.th/Cyberbiz/ViewNews.aspx?NewsID=9530000178135

10 แนวโน้มสำคัญที่จะเกิดขึ้นบนโลกไอที ในปี 54

10 แนวโน้มสำคัญที่จะเกิดขึ้นบนโลกไอที ในปี 54

ไอดีซีคาด การเติบโตของบริษัทต่างๆ ในเอเชียจะเป็นแรงขับเคลื่อนให้เกิดการเปลี่ยนแปลงด้านไอซีที ในปี 2554 เชื่อแอปพลิเคชัน Socialytics เป็นเรื่องเด่นในการคาดการณ์ 10 อันดับแนวโน้มที่สำคัญในปี 2554

บริษัทวิจัยตลาดไอดีซี (International Data Corperation) คาดการณ์ 10 แนวโน้มสำคัญของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกยกเว้นญี่ปุ่น ในปี 2554 การดำเนินธุรกิจของภูมิภาคเอเชียและมุมมองด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ICT) นั้นจะยังคงถูกเน้นหนักไปที่ภาพของการเติบโตอย่างยั่งยืน หรือในบางกรณีมีอัตราการเติบโตในระดับสูง ด้วยเศรษฐกิจที่กำลังเติบโตซึ่งจะเป็นตัวขับเคลื่อนส่งผลให้เกิดการแปลงสภาพของอุตสาหกรรม ไอซีที ตามลำดับ และยังเป็นปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิดการใช้งานกันอย่างแพร่หลายมากยิ่งขึ้น

ต่อไปนี้คือ 10 อันดับแนวโน้มด้านไอซีทีที่สำคัญในปี 2554 ที่ไอดีซีเชื่อว่าจะเป็นแนวโน้มสำคัญที่ส่งผลกระทบตลาดไอซีทีในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก

1. แอปพลิเคชั่น Socialytic จะเปลี่ยนตลาด

ในปี 2554 Social media และ Business analytical จะทำงานร่วมกันอย่างกลมกลืน ซึ่งจะเป็นจุดเริ่มให้มีใช้แอปพลิเคชันใหม่ๆ ภายในองค์กร โดยแอปพลิเคชันทางธุรกิจทุกประเภทจะเข้ามาเปลี่ยนแปลงพื้นฐานของระบบโครงการสร้างการทำงาน ด้วยการรวมซอฟต์แวร์ด้าน Social/Collaboration และงานด้านการวิเคราะห์ เข้าไปเป็นหน่วยหนึ่งในแอปพลิเคชันทางธุรกิจที่ใช้งานมาดั้งเดิม ในปี 2554

2. Mobilution - Mobility จะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วในตลาดไอที

สิ่งที่เราเรียกว่า “มหาพายุ (Perfect storm)” ซึ่งเกิดจากวิวัฒนาการของเทคโนโลยีหลายประเภทที่รวมตัวกัน ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในเรื่องโมบิลิตี้ แท็บเล็ต มีเดียแท็บเล็ต อย่างไอแพด และสมาร์ทโฟนที่มีหน้าจอขนาดใหญ่ สามารถทำงานด้านซอฟต์แวร์ หรือเซอร์วิสได้สมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้เทคโนโลยี Cloud Computing ในปัจจุบัน ทำให้เราพบว่าระบบไอทีต่างๆ กำลังจะเริ่มให้บริการในรูปแบบที่เป็นเวอร์ชวลไลซ์มากขึ้น โดยจะลดความสำคัญของงานประมวลผลที่ติดตั้งอยู่ในอุปกรณ์ สิ่งนี้จะทำให้ทุกสิ่งทุกอย่าง กลายเป็น Mobile อย่างจริงจัง และในปี 2554 จะเป็นปีที่หลายๆ หน่วยงานให้ความสำคัญญกับเรื่องนี้อย่างจริงจัง

3.“จ่ายน้อยยุ่งยากน้อย Less for Less” - พอร์ทัลสำหรับให้ลูกค้าใช้บริการด้วยตนเองจะเป็นหัวหอกในการนำเสนอบริการราคาประหยัดที่ยึดเอาลูกค้าเป็นตัวตั้ง

การมองลูกค้าเป็นตัวตั้ง - การปรับเปลี่ยนสินค้าหรือบริการไปตามสภาพของตลาดที่เปลี่ยนไป จะกลายเป็นตัวขับเคลื่อนที่สำคัญที่สุดสำหรับองค์กร ในขณะเดียวกันผู้คนก็จะเห็นแนวคิดหรือวิถีชีวิตที่มาจากคน Gen-Y เพิ่มขึ้นในโลกของธุรกิจอีกด้วย ด้วยแรงขับเคลื่อนจากสองสิ่งนี้ในสภาพแวดล้อมของการทำงาน บทบาทของการให้บริการด้วยตนเอง (Self-service) ที่เป็นการใช้งานผ่านเว็บไซต์จะกลายเป็นเรื่องสำคัญ จากแนวคิดของ “จ่ายน้อยยุ่งยากน้อย” หมายถึงค่าใช้จ่ายที่น้อยสำหรับการใช้บริการที่จะเกิดขึ้นสำหรับลูกค้าผู้ใช้บริการ ที่ไม่มีความซับซ้อนต่อการใช้บริการ ง่ายต่อการให้บริการดูแลลูกค้า ซึ่งไอซีทีจะมีบทบาทที่สำคัญในเรื่องของบริการด้วยตนเองที่ “จ่ายน้อยยุ่งยากน้อย” ที่ใช้แนวคิดลูกค้าเป็นตัวตั้ง

4. Analytics จะช่วยเร่งการติดตามพฤติกรรมการบริโภคในเอเชีย

การแข่งขันที่คาดว่าจะทวีความเข้มข้นในเอเชียในอีก 3-5 ปีข้างหน้า กำลังมุ่งเข้าตลาดในภูมิภาคนี้ซึ่งเป็นตลาดที่มีศักยภาพในการเติบโต จากเหตุผลในเรื่องของความสามารถในการพัฒนาวิธีการตัดสินใจและช่วยส่งเสริมให้รายได้เพิ่มขึ้นสูงขึ้น การวิเคราะห์ด้านธุรกิจถูกคาดว่าจะเคลื่อนเข้าสู่ระยะกลางสำหรับบรรดาซีไอโอ ในปี 2554 เมื่อเทคโนโลยีนี้กำลังถูกมองว่าเป็นตัวช่วยให้องค์กรต่างๆ เพื่อความสามารถในการแข่งขันได้

5. iPad จะได้รับความสนใจอย่างแพร่หลายในเรื่อง Client Virtualization

ด้วยกระแสความนิยม iPad ในปี 2533 ส่งผลให้ซีไอโอของแต่ละองค์กรกำลังถูกเชิญชวนโดยผู้บริหารระดับสูงของ Apple เพื่อโน้มน้าวให้ผลิตภัณฑ์ของแอปเปิลสามารถเชื่อมต่อเข้าไประบบไอทีขององค์กร และสามารถเข้าถึงข้อมูลที่เป็นความลับได้ ทั้งที่ซีไอโอกำลังกังวลว่ามีโอกาสที่อาจจะมีปัญหาในเรื่องความเสี่ยงต่างๆ

เพราะเหตุนี้โซลูชันทางเลือกที่เป็นไปได้ทางหนึ่งคือการใช้ Client Virtualization ด้วยการสร้างช่วงของการใช้งานที่เป็นเวอร์ชวลไลซ์ ทำให้ผู้ใช้สามารถเข้าไปใช้งานแอปพลิเคชันต่างๆ ได้โดยไม่ต้องคำนึงถึงระบบปฏิบัติการ อีกทั้งยังสามารถสร้างความมั่นใจให้กับซีไอโอว่าพวกเขาจะรู้ได้ว่าข้อมูลต่างๆ ขององค์กรนั้นมีความปลอดภัย เรื่องนี้เป็นไปได้ว่าจะใช้เวลาอีกหลายปีในการดำเนินการ แต่ไอดีซีคาดว่าการใช้งานอย่างแพร่หลายของ Client Virtualization จะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน

6. การให้บริการและการจัดตั้งสมาพันธ์จะเป็นตัวโน้มน้าวให้เกิดการใช้งาน Cloud ในระดับองค์กร

การเริ่มต้นของเทคโนโลยีและบริการ Private Cloud สำหรับองค์กรขนาดกลางและขนาดใหญ่จะยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องในปี 2554 เนื่องจาก ความกังวลเกี่ยวกับระบบความปลอดภัย ความเสถียร และประสิทธิภาพของบริการ Public Cloud ไอดีซี คาดว่า ความสามารถในการผสานรวมแอปพลิเคชันหรือบริการจากคลาวด์กับแอปพลิเคชัน หรือบริการจากหน่วยงานไอทีขององค์กรหรือกับบริการจากผู้ให้บริการคลาวด์ อีกรายหนึ่งนั้นจะเป็นได้ทั้งแรงบวกหรือลบสำหรับการนำคลาวด์มาใช้ในองค์กร

ยกตัวอย่างเช่น หากบริษัทต่างๆ ในเอเชียจะใช้บริการคลาวด์ ที่จะเน้นไปที่โซลูชันที่ใช้งานตามความต้องการเฉพาะเรื่องมากกว่าที่จะใช้งานแบบ “ถอดทิ้งและแทนที่ใหม่” มันจะเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ว่าแอปพลิเคชันที่ใช้งานในปัจจุบันกับแอปพลิเคชันของ คลาวด์จำเป็นจะต้องผนวกเข้าด้วยกัน ถ้าหากปราศจากการผสานรวมกันแล้ว มันจะเป็นเรื่องยากที่จะบรรลุถึงวัตถุประสงค์ในเรื่องผลตอบแทนการลงทุน (ROI)

7. องค์กรธุรกิจที่ทันสมัยจะเริ่มทำแค๊ตตาล๊อกบนพื้นฐานเกี่ยวกับไอที (Catalog-Based IT)

จากการที่เศรษฐกิจของภูมิภาคนี้ได้กลับมาฟื้นตัวและธุรกิจต่างๆ ก็กำลังเติบโต ผู้ใช้งานจะเริ่มมีความต้องการใช้ทรัพยากรด้านไอทีมากขึ้น การจัดหาทรัพยากรคอมพิวเตอร์มาให้ได้แบบปัจจุบันทันด่วนกำลังกลายเป็นความต้องการที่เหมือนจะเป็นข้อบังคับภายในองค์กร จะถูกคาดหวังให้สนับสนุนความต้องการใช้งานเฉพาะหน้าที่ ส่วนมากจะเป็นแบบปัจจุบันทันด่วน หนทางเดียวที่จะตอบสนองต่อความคาดหวังเรื่องต่างๆ เหล่านี้ได้คือการติดตาม และการเตรียมพร้อมในเรื่องทรัพยากรด้านไอที ผ่านแคตตาล๊อกบนพื้นฐานไอที (catalog-based IT)

ไอดีซีคาดว่า มากกว่าร้อยละ 50 ขององค์กรธุรกิจสัญชาติเอเชียขนาดกลางถึงใหญ่ กำลังถูกสั่งให้สร้างแคตตาล๊อกบนพื้นฐานไอซีที ในปี 2554

8. Business-as-a-Service เป็นคำตอบสำหรับการผสานระหว่างไอทีกับธุรกิจเข้าด้วยกัน?

Business-as-a-Service เป็นการนำเสนอบริการที่เน้นไปในเรื่องของขั้นตอนดำเนินธุรกิจมากกว่าการนำเทคโนโลยีเข้ามาแทนที มันเป็นแนวโน้มที่แสดงถึงความสำคัญและผลกระทบที่ไม่ใช่แค่เรื่องไอทีเท่านั้นแต่ยังรวมไปถึงเรื่องการเอ้าซอร์สขั้นตอนการดำเนินธุรกิจทั้งหมด ดังนั้น Business-as-a-Service จึงถูกคาดหมายว่าจะเป็นสิ่งที่นำแสงแห่งความหวังในการจับคู่ระหว่างไอที และธุรกิจ ให้กลายเป็น “หนึ่งเดียวกัน” เพื่อแข่งขันได้อย่างมั่นใจในตลาดเอเชียแปซิฟิก ไอดีซีเชื่อว่าแนวโน้มดังกล่าวจะเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ และจะเป็นสิ่งที่ได้รับความสนใจเป็นอย่างมากในปี 2554

9. ผู้ให้บริการโทรคมนาคมจะหันกลับมาตลาดไอที

Cloud ยังคงถูกพูดถึงจนถึงทุกวันนี้ เป็นหนึ่งในยุคของเทคโนโลยีซึ่งจะช่วยให้ผู้ให้บริการโทรคมนาคมครองตลาดได้ เนื่องจากมันเป็นข้อได้เปรียบที่ติดมาจากการเป็นเจ้าของระบบโครงข่ายการติดต่อสื่อสาร ซึ่งสิ่งนี้เรื่องจำเป็นที่สำหรับการให้บริการ Cloud ทั้งหมด

ไอดีซี เชื่อว่าองค์กรส่วนใหญ่จะมุ่งพัฒนาไปสู่รูปแบบคลาวด์ที่เป็นลูกผสม โดยที่บริษัทหลายแห่งชอบที่จะปกป้องทรัพย์สินของตนเองโดยเฉพาะงานหรือแอพพลิเคชันที่มีความสำคัญต่อองค์กรไว้ภายใน Private Cloud ที่ลงทุนเอง ไอดีซีเชื่อว่าผู้ให้บริการโทรคมนาคมจะไม่หันหลังให้กับโอกาสสำหรับโซลูชันไพรเวท คลาวด์ที่องค์กรต่างๆ จะลงทุนเอง ตลาดนี้คาดว่าจะมีมูลค่าราว 752 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในปี 2554 และคาดว่าจะสูงถึง 1.8 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ในปี 2557

10. ผู้ให้บริการโทรคมนาคมจะมองหาเทคโนโลยี Cloud เพื่อใช้ในการดำเนินงาน

ผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ตกำลังเร่งนำเสนอบริการ Cloud ให้กับผู้ใช้งานที่เป็นบุคคลทั่วไปหรือองค์กรธุรกิจ แต่กลับมีกลุ่มธุรกิจอุตสาหกรรมย่อยที่เกิดใหม่และน่าจับตามอง ซึ่งเกี่ยวข้องกับซอฟต์แวร์ ฮาร์ดแวร์ และบริการไอที โดยผู้จัดหาอุปกรณ์เครือข่ายกำลังจัดหาผลิตภัณฑ์เหล่านี้ให้กับผู้ให้บริการโทรคมนาคม ซึ่งจะทำหน้าที่ในการแปลงผลิตภัณฑ์ เทคโนโลยี หรือการให้บริการเหล่านี้ไปสู่การให้บริการคลาวด์ ที่ให้ผลตอบแทนกลับมาเป็นตัวเงินได้

รูปแบบการให้บริการคลาวด์ที่นำเสนอในลักษณะที่ไม่ใช่เป็นแบบ “ผู้ให้บริการหนึ่งรายต่อลูกค้าหลายราย” ซึ่งมักจะเป็นเรื่องที่อยู่ในใจเสมอเมื่อกำลังพูดถึงบริการคลาวด์ที่ผู้ให้บริการโทรคมนาคม โดยทั่วไปแล้วมักลังเลเป็นอย่างมากที่จะแชร์เซิฟเวอร์เดียวกันกับคู่แข่งของเขา เพื่อขจัดปัญหาเช่นนั้น ผู้จัดหาอุปกรณ์เครือข่าย กำลังมองหาแนวทางในการนำเสนอบริการเหล่านี้ในลักษณะ Hosted Private Cloud ซึ่งจะมีการจัดสรรโครงสร้างพื้นฐานตามตรรกะตามผู้ให้บริการโทรคมนาคมแต่ละราย ด้วยทิศทางในอนาคตที่จะมุ่งไปสู่การมีโครงสร้างพื้นฐานของ cloud ที่เสมือนจะแยกกันอย่างชัดเจน จะทำให้ผู้ให้บริการโทรคมนาคมทั้งหลายจะรู้สึกสบายใจมากขึ้นในเรื่องของแนวคิดการใช้งานร่วมกัน


ที่มา
http://www.manager.co.th/Cyberbiz/ViewNews.aspx?NewsID=9530000175183

"นักเล่น Social Network" อาชีพใหม่เมืองไทย?

เชื่อว่าน้อยคนนักที่ยังไม่รู้ ว่าวันนี้องค์กรในเมืองไทยกำลังตื่นตัวกับตำแหน่งงานใหม่ที่คลับคล้ายคลับคลาว่าจะเป็นการว่าจ้างให้พนักงานมานั่งเล่น Facebook, Twitter หรือ Youtube อย่างจริงจังตลอดเช้าสายบ่ายเย็น แน่นอนว่าการลงทุนจ้างพนักงานอย่างเป็นล่ำเป็นสันนี้แปลว่าเครือข่ายสังคมเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องธรรมดา แต่เป็นช่องทางทำเงินที่องค์กรไทยเริ่มมองเห็นพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย

"@maeyingzine"จะพาทุกคนไปรู้จักกับความท้าทายของอาชีพใหม่ ซึ่งเชื่อว่าจะเป็นเครื่องมือติดปีกกลยุทธ์การตลาดของหลายองค์กรในประเทศไทยต่อเนื่องไปอีกหลายปี

เล่น Social network อย่างไรให้ได้ดี นี่ไม่ใช่โฆษณาชวนเชื่อแบบ Spam mail หรือพวก Spam Tag ที่เอาแต่ส่งเมล์ Tag รูปพร้อมกับใช้รูปสาวๆ น่ารัก แอ๊บแบ้ว ดึงดูดตาดึงดูดใจคนไปวันๆ แล้วบอกว่าเพียงแค่คลิก หรือส่งเมล์ก็สามารถสร้างรายได้ได้แล้ว แต่สิ่งที่กำลังจะบอกต่อไปนี้คือ การเล่น Social Network อย่างถูกต้องและเข้าใจ เครือข่ายสังคมก็สามารถสร้างอาชีพและรายได้ให้คุณได้เหมือนกัน

การที่ Fanpage หนึ่งจะประสบความสำเร็จ มีจำนวน Fan มาก มีการนำเสนอเนื้อหา มีการพูดคุยอย่างสนุกสนานมีชีวิตชีวา ผู้คนชื่นชอบได้นั้น เบื้องหลังของความสำเร็จไม่ได้อยู่นักการตลาดเพียงกลุ่มเดียวเท่านั้น เปรียบเสมือนกับการทำงานในองค์กร ที่ต้องมีหลายแผนกเพื่อช่วยกันทำงาน ทำหน้าที่ส่วนต่างๆ คอยช่วยเหลือสนับสนุนซึ่งกันและกันเพื่อให้งานออกมาสำเร็จได้ด้วยดี

การทำการตลาดบนโลกออนไลน์ก็เช่นกัน ไม่ใช่แค่เพียงกลุ่มนักการตลาดที่คอยคิด Strategic เพียงกลุ่มเดียวแล้วจะทำให้ Page สามารถประสบความสำเร็จมีคนชื่นชอบได้ ในซอกในมุมหนึ่งยังมีกลุ่มคนทำงานกลุ่มหนึ่งที่เป็นส่วนหนึ่งของความสำเร็จที่หลายคนอาจมองข้ามและนึกไม่ถึง นั่นคือ นักเขียนหรือคนที่คอยดูแลหน้า Page คอยพูดคุยกับ Fan คอยตอบปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น คนที่คอยมาทักทาย Fan ตอนเช้าและเย็นนั่นหล่ะค่ะ บางองค์กรอาจเรียกตำแหน่งของคนกลุ่มนี้ว่า Online Content, Digital Content, Social Media Content ก็ว่ากันไป แต่ละที่อาจเรียกและให้คำจำกัดความที่ไม่เหมือนกันก็ได้

ตำแหน่ง Online Content, Digital Content, Social Media Content ยังเป็นตำแหน่งที่ไม่แพร่หลายมากนัก และบางคนอาจจะยังงงๆ กับชื่อตำแหน่งว่าทำอะไร ตกลงวันๆ เค้าจ้างให้มานั่งเล่น Facebook, Twitter, Youtube หรือ

หน้าที่หลักของ Online Content, Digital Content, Social Media Content จริงๆ แล้วก็ไม่ต่างจาก Web Content เลย คือเน้นการเขียนบทความ เนื้อหา และการอัปเดทหรือ Publish เนื้อหา เพียงแต่เปลี่ยนที่ทางในการเผยแพร่จาก Web Site มาเป็นบน Social Network แทนเท่านั้นเอง

Skill หลักในการทำงานก็ยังคงอยู่ที่การเขียนเนื้อหาเป็นหลัก การอัปเดท Status อัปเดทรูปภาพ ประชาสัมพันธ์ข่าวต่างๆ บนหน้า Wall อย่างที่เราเห็นกันบ่อยๆ เช่นตอนเช้า ที่จะมีคนมาคอยกล่าวคำว่า “อรุณสวัสดิ์ค่ะ” เป็นต้น หน้าที่อีกอย่างที่น่าสนใจและสนุกก็คือการได้โต้ตอบ พูดคุยกับบรรดา Fan หลายๆ คน บางครั้งกับบางคนที่คุยกันบ่อยๆ ทำให้เรารู้สึกว่า Fan คนนี้เป็นเพื่อนกับเราจริงๆ ไปเลยก็มี

การเขียนเนื้อหาลงบน Social Network มีความแตกต่างจากการเขียนบนเว็บอยู่ไม่น้อย เพราะ Social Network คือแหล่งที่จะพูดคุยต่อกัน ดังนั้นการเนื้อหาจึงต้องแฝงด้วยความเป็นกันเองและเน้นให้เกิดการ Response ของผู้อ่านกลับมามากว่า Website หรือ นิตยสาร

ความสนุกในการทำงานคือการที่คุณจะได้พบปะและพูดคุยกับคนอื่นอยู่ตลอดเวลา คอย Monitoring หน้า Page พูดคุย ตอบคำถามกับบรรดา Fan ของเราเพื่อให้เป็น Social media อย่างแท้จริงสร้างความเป็นกันเองให้มากขึ้น เหมือนเพื่อนคุยกับเพื่อนให้หน้า Page เป็นเหมือนหน้า Profile ของเราที่เวลาโพสต์ข้อความอะไรไปแล้วมีเพื่อนมาคอมเมนท์แล้วเราก็จะคุยกลับกับเพื่อนเหล่านั้นไป จะทำให้ Page ดูมีชีวิตชีวามีตัวตนจริงๆ

และที่สนุกยิ่งไปกว่านั้นคือในหนึ่งวันคุณอาจจะกลายเป็นคนมากกว่าหนึ่งคนก็ได้ ยกตัวอย่างหากองค์กรของมีสินค้าหรือผลิตภัณฑ์อยู่หลายตัว แล้วทุกสินค้ามี Fanpage หมด ดังนั้นการดูแล Page แต่ละกลุ่มเป้าหมาย หรือแม้แต่สินค้าแต่ละตัวก็ย่อมต่างกันออกไปด้วย

ดังนั้นการเขียนเนื้อหาสำหรับ Page แต่ละ Page ก็แตกต่างกันออกไป บางครั้งตอนเช้าคุณอาจจะต้องนำเสนอเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับการเป็นคุณแม่ สายหน่อยอาจจะต้องกลายเป็นเด็กวัยรุ่นแอ๊บแบ้ว บ่ายๆ อาจจะต้องเป็นพวกรักสุขภาพ ความสวยความงาม ตกเย็นอาจกลายเป็นหนุ่มเพลย์บอย สาวเพลย์เกิร์ลเตรียมออกไปเริงร่ายามราตรีก็ได้ นี่แหละคือความสนุกของการทำงาน

การสวมหมวกหลายใบในหนึ่งวันจะทำให้คุณรู้ว่า “เราสามารถเป็นได้มากกว่าที่เราเป็นและเราคิด” และมันก็สนุกไม่น้อยเลย การได้ค้นคว้าหาข้อมูลที่แตกต่าง และหลากหลายนี่ล่ะที่จะทำให้ไม่เบื่อกับการทำงานที่ต้องนั่งอยู่แต่หน้าคอมพิวเตอร์

ที่ยิ่งไปกว่านั้นการทำงานแบบนี้ยังบอกถึงความสามารถและประสิทธิภาพการทำงานของเราได้อีกด้วย จริงๆ แล้วคนเราสามารถเป็นอะไรก็ได้ ได้มากกว่าหนึ่งอย่าง และยังเป็นท้าทายที่จะทดสอบความสามารถของตัวเองด้วยว่าเราสามารถสวมหมวกหลายใบได้หรือไม่ และเรามีความสามารถมากพอที่จะเปลี่ยนบุคลิกของเนื้อหาไปตามเพศ วัย อายุ ความสนใจได้มากแค่ไหน วันนึงคุณอาจจะค้นพบว่าจริงๆ คุณชอบเพศอะไรมากกว่ากัน หรือชอบเรื่องแนวไหนมากกว่า ;)

ฟังอย่างนี้แล้วบางคนอาจคิดว่าโห สบายจังเลย งานไม่เห็นยากตรงไหน วันๆ ก็แค่เขียนนิดๆ หน่อยแล้วก็คอยคุยกับ Fan แต่จริงๆ แล้ว การพูดคุยไม่ใช่ว่าอยู่ๆ เราจะคุยอะไรก็คุยได้ อย่างน้อยก็ต้องมีพื้นฐาน มีความรู้ ความเข้าใจความเป็นไป กลไกการทำงานของ Social Network ว่าเป็นยังไง หลักการทำงานของมันเป็นอย่างไร เล่นให้เป็นเล่นให้ถูกต้องอยู่เหมือนกัน และต้องร่วมมือทำงานให้เป็นไปในทิศทางของ Strategic กลยุทธ์ทางการตลาดที่นักการตลาดได้วางแผนมาว่าให้เป็นอย่างไรด้วย

ปัจจุบันก็เริ่มมีองค์กรใหญ่ๆ หลายองค์กรที่หันมาให้ความสนใจและความสำคัญกับการทำการตลาดออนไลน์มากขึ้น และมีการประกาศรับพนักงานในตำแหน่ง Online Content, Digital Content, Social Media Content เพิ่มมากขึ้นแล้ว และนี่อาจเป็นตำแหน่งงานใหม่ ทางเลือกใหม่ในการทำงานให้ใครอีกหลายๆ คนที่ชื่นชอบทั้งด้านการตลาดและการเขียนควบคู่กันไปก็ได้ค่ะ

เหนืออื่นใด การสร้าง Page ให้ประสบความสำเร็จไม่ได้มีแค่นักการตลาด Content เพียง 2 กลุ่มเท่านั้นแต่ยังมีกลุ่มคนทำงานอื่นที่อยู่เบื้องหลังอีกส่วน ไม่ว่าจะเป็น Programmer หรือ Creative ก็ตาม ทุกคนทุกกลุ่มร่วมกันทำงานความสำเร็จของ Fanpage จึงจะเกิดขึ้น

คนเพียงคนเดียวไม่สามารถสร้างบ้านขึ้นมาได้สำเร็จจริงไหมคะ Fanpage ก็เช่นกันค่ะ


ที่มา
http://www.manager.co.th/Cyberbiz/ViewNews.aspx?NewsID=9530000156789

3 สิ่งต้องระวังในการทำ Geo Marketing

3 สิ่งต้องระวังในการทำ Geo Marketing

นาทีนี้ต้องยอมรับว่าวงการ"Geo Marketing"หรือการตลาดที่อิงตามข้อมูลภูมิศาสตร์นั้นเป็นเรื่องหอมหวานสำหรับนักการตลาดทั่วโลก ใครที่ยังไม่มีไอเดียเกี่ยวกับเรื่องนี้ บทความนี้จะนำเสนอทั้งตัวอย่าง กรณีศึกษา รวมถึงข้อควรระวังสำหรับธุรกิจที่คิดจะเริ่มต้นมิติการตลาดยุคใหม่ซึ่งคาดว่าจะมีอิทธิพลต่อโลกไปอีกหลายปี

ปฏิเสธไม่ได้ ว่าช่วงปีที่ผ่านมา เทรนต์เรื่อง LBS หรือ Location Based Service บริการระบุตำแหน่งที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ ซึ่งนำความสามารถของแผนที่ Online และความสามารถของเครื่องรับสัญญาณ A-GPS ที่อยู่ในโทรศัพท์มือถือประเภท Smartphone มาใช้งานร่วมกัน นั้นมีการพัฒนาลูกเล่นรูปแบบบริการที่น่าสนใจมากขึ้นเรื่อยๆ ในปัจจุบัน จนนักการตลาดมองเห็นว่าเป็นอีกช่องทางที่นำมาปรับใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อธุรกิจ นำไปสู่ชื่อเรียกในวงกว้างว่า Geo-Marketing หรือ Loacation Based Marketing

การทำการตลาดประเภท Location based Marketing นั้นมีประโยชน์กับผู้ประกอบการ SME อย่างมากโดยเฉพาะธุรกิจประเภทธุรกิจท่องเที่ยว ร้านอาหาร ที่ช่วยให้ลูกค้าหาข้อมูลสถานที่หรือรับโปรโมชั่น ณ จุดบริการได้ง่ายดาย

ตัวอย่างบริการ Location Based Service

Google Place

จะดีแค่ไหนถ้าแทนที่คุณจะต้องคอยบอกลูกค้าคุณว่าร้านค้าคุณอยู่ที่ตั้งนั้นที่ตั้งนี้ ซึ่งการสร้างแผนที่แบบเดิมๆอาจจะไม่ละเอียดพอ แต่ปัจจุบัน Google ให้บริการฐานข้อมูลทางภูมิศาสตร์ถูกสร้างเป็นแผนที่ออนไลน์ ผ่านบริการ Google Map แล้วยังเปิดโอกาสให้ธุรกิจของเราเพิ่ม ข้อมูลร้านค้าไป List ธุรกิจได้อีกด้วยผ่าน บริการ Google Place

ยกตัวอย่าง

หากคุณมีธุรกิจร้านอาหารเล็กๆ อยู่บนยอดดอยอย่างอำเภอแม่สาย ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวดังนั้น การหาข้อมูลก่อนการท่องเที่ยวผ่าน Search engine อย่าง Google จึงเป็นสิ่งที่พลาดไม่ได้อย่างแน่นอน ดังนั้น คุณสามารถ เพิ่มรายชื่อ และพิกัดแผนที่ของคุณ รวมถึงข้อมูลสถานที่ รูปภาพได้

ปัจจุบัน Google แจ้งว่ามีธุรกิจที่ลงทะเบียนกับ Google place แล้วมากกว่า 4 ล้านราย ซึ่งตามสถิติช่วยเพิ่มโอกาสในการค้นหาเพิ่มมากขึ้นถึง 20% เลยทีเดียว

ข้อดีของการสร้าง Google Place คือลูกค้าของคุณสามารถเข้าดูหาข้อมูลได้จากทุกๆที่สามารถเชื่อมต่อ Internet ได้ ทั้งจากคอมพิวเตอร์ส่วนตัว รวมถึงบนโทรศัพท์มือถือ พร้อมยัง Share พิกัดร้านค้าของเราออกไปผ่าน Social media ต่างๆได้อย่างง่ายได้อีกด้วย

Geo-location Gaming

การได้รับความนิยมของ Geo-Social gaming อย่าง Foursquare หรือ Gowalla ซึ่งสามารถใช้งานผ่านโทรศัพท์มือถือประเภท Smartphone ยอดนิยม เช่น Iphone,Black berry ,Android phone ซึ่งจะช่วยให้คุณระบุพิกัดของตัวคุณผ่าน ระบบ A-GPS ( Assisted GPS) ในเครื่องมือถือของคุณให้เพื่อนได้รับรู้ ว่าขณะนี้คุณอยู่ที่ไหนและทำอะไรอยู่ แถมยังสามารถเชื่อมต่อให้ Share ผ่านบัญชี Twitter และ Facebook ให้เพื่อนและ Follower รู้ได้อีกด้วย
จุดนี้เองที่นักการตลาดของเห็นโอกาสของการใช้งาน Location Base Service มาประยุกต์ใช้งาน

สิ่งที่ทั้ง FourSquare และ Gowalla เหมือนกันคือการอนุญาตให้ผู้ใช้งานช่วยกันเพิ่มสถานที่ หรือ Venue หรือ SPOTS ซึ่งเป็นประโยชน์สำหรับเจ้าของสถานที่นั้นๆด้วย รวมถึงการทำการตลาดอย่างการสร้าง Promotion campaign ปัจจุบันธุรกิจหลายเจ้าในต่างประเทศเริ่มทำการตลาดโดยสร้างกิจกรรมหรือ campaign ให้สมาชิกได้ร่วมสนุกหรือ Surprise กัน

กรณีศึกษา

StarBucks เจ้าแห่งกรณีศึกษาการตลาดอย่าง Starbucks ก็ได้จับมือกับ Foursquare โดยหากใครเป็น “เจ้าถิ่น (Mayor)” จะได้ส่วนลด 1 ดอลลาร์ หากสั่งกาแฟฟรับปูซิโน่ โดยเพียงแค่แสดงสัญลักษณ์เจ้าถิ่นในมือถือให้กับเจ้าหน้าที่ภายในร้าน และการแจก "ป้าย (Badge)” นักชงกาแฟ (Barista) ให้กับคนที่ check-in 5 ครั้งที่ร้าน Starbucks ทุกสาขาทั่วอเมริกา ซึ่งแน่นอนนักสะสมป้าย Badge เหล่านี้ไม่พลาดกันแน่นอน

Chavey หรือที่บ้านเรารู้จักก็คือรถเชฟโรเล็ตนั่นเอง ทาง Chavey เองก็ใช้เจ้า Geo-Marketing กับ Gowalla ประหลาดใจให้กับสมาชิก Gowalla ที่ Check-in ที่สนามบิน Austin โดยจัดรถ Chavey รับส่งถึงที่หมายหรือโรงแรมที่พักเมื่อ ผู้เล่น Gowalla Check-in ระบบ ก็จะทำการสุ่มผู้โชคดีขึ้นมา ซึ่งแน่นอน Campaign นี้ก็กลายเป็น Viral Marketing ต่อๆไปบนโลก Social media

Campaign นี้น่าสนใจ บริษัทรถในบ้านเราจะนำมาใช้เพื่อนโปรโมทรถรุ่นใหม่ๆก็น่าจะเป็นตัวอย่างที่ดีอันนึงเลยทีเดียว

จะว่าไปบ้านเราเองก็เริ่มจะมีบริษัทบางรายนำ Geo-Marketing มาใช้ประโยชน์มากขึ้นที่เห็นได้ชัดอย่างเช่น KTC ที่ใช้ KTC Real Privileged Program จับมือกับร้านอาหาร ,Coffee shop ต่างๆแจ้งให้ผู้ที่ Check-in ณ ร้านนั้นๆรู้ว่าคุณจะได้รับส่วนลด เมื่อใช้จ่ายโดยบัตร KTC ผ่านเมนู TIPS บน Foursquare นั่นเอง

สิ่งที่พึงระวังหากต้องการทำ Geo Marketing

1. เตรียมธุรกิจคุณให้พร้อม เมื่อคุณตัดสินใจทำการตลาดแบบนี้แล้วควรเตรียมความพร้อมภายในให้พร้อมด้วยเช่นกัน อย่างเช่น พนักงานต้องมีความเข้าใจว่าบริษัทเล่นอะไร ไม่ใช่ถึงเวลามีลูกค้าถามกลับตอบไม่ได้ หรือทำหน้างงๆ เมื่อลูกค้าโชว์โทรศัพท์แล้วร้องขอส่วนลดอะไรแบบนั้น

2. เช่นเดียวกับ Social media อื่นๆการติดตามและประเมินผลของการทำการแบบ Geo-marketing คุณต้องรับฟังอยู่เสมอ เพราะข้อดีของ Social media marketing เป็นการสื่อสารแบบ 2 ทาง คุณอาจจะได้รับทั้ง คอมเม้นต์ทั้งทางด้านบวกและด้านลบ หากคุณเป็นผู้บริการจัดการ สถานที่นั้นๆแล้วควรจะเข้าร่วมวงสนทนา และ แก้ไขปรับปรุงตามข้อคิดเห็นของลูกค้าด้วย หากลูกค้ามีการคอมเม้นต์ทั้ง ราคาอาหารและ คุณภาพของอาหาร ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อผู้บริหารสถานที่นี้มากๆหากคุณรับฟังและนำข้อมูลเหล่านี้ไปปรับปรุง

3. สร้างกิจกรรมให้น่าสนใจและแรงพอ ที่จะโน้มน้าวให้ผู้ร่วมเล่นสนใจเข้าร่วมกิจกรรม ไม่ใช่แค่ ส่วนลด 1% เมื่อ Check-in แล้วสั่งกาแฟ 1 แก้ว

ลองตัดสินใจดูว่าธุรกิจคุณเหมาะที่จะลงเล่น Geo-Marketing ในรูปแบบไหนหรือสร้างกิจกรรมกับ ผู้เล่นเจ้าไหนทั้ง Foursquare และ Gowalla หรือ Google place ซึ่งปัจจุบัน ทั้ง 3 เจ้าก็สามารถให้บริการในประเทศไทยได้อย่างเต็มรูปแบบ

ผมเชื่อว่าต้องมีสักอันที่เหมาะสมกับธุรกิจของคุณ

ที่มา
http://www.manager.co.th/Cyberbiz/ViewNews.aspx?NewsID=9530000150448